brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Dec 2024

Gerry Cranham
ช่างภาพกีฬาผู้บันทึกประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
เรื่อง : ธันวา ลุจินตานนท์
22 Nov 2022
1929 - Now

ในที่สุดการแข่งขันกีฬาที่ผู้คนเฝ้ารอคอยมากที่สุดรายการหนึ่งก็ได้เริ่มขึ้นแล้วนั่นคือฟุตบอลโลกนั่นเอง โดยการแข่งขันในปีนี้นั้นจัดขึ้นที่ประเทศกาตาร์นั่นเองท่ามกลางอากาศร้อนระอุกว่าครั้งไหนๆ และเสียงบ่นมากมายจากบรรดาแฟนฟุตบอล (หรือกระทั่งนักฟุตบอลจำนวนหนึ่ง) ว่ามันเป็นการทำร้ายนักกีฬาอย่างแจ่มแจ้งแต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วและเราน่าจะได้เห็นภาพถ่ายที่เป็นโมเมนต์น่าตื่นตาตื่นใจไปจนถึงความประทับใจต่างๆ อย่างแน่นอน

หากเราพูดถึงภาพถ่ายกีฬาในยุคปัจจุบันเราน่าจะนึกถึงภาพกีฬามันๆ เหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าจดจำ เช่น เวย์น รูนีย์ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังจักรยานอากาศยิงใส่ทีมร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด การแสดงท่าดีใจอย่างการนั่งสมาธิของ เออร์ลิง เบราท์ ฮาลันด์ หรือการกระโดดสูงก่อนลงมาตะโกนว่า ‘Siuuuuuuuuu’ ของคริสเตียโน่​  โรนัลโด้  ไปจนถึงโมเมนต์น้ำตาคลอของ เลโอเนล เมสซี่ ที่ไม่สามารถต่อสัญญากับสโมสรรักอย่าง บาร์เซโลน่า เป็นต้น

ถ้าลองค้นหาภาพเก่าๆ ดูยังมีภาพไอคอนิคอีกมากมายทั้งเหตุการณ์ หัตถ์พระเจ้าของดิเอโก้ มาราโดน่า เปเล่กับการกระโดดดีใจกอดเพื่อนร่วมทีมบราซิล กาก้ากับจังหวะดีใจด้วยการถอดเสื้อแข่งออกก่อนโชว์คำว่า ‘I Belong to Jesus’ แต่ถ้าเราย้อนไปถึงฟุตบอลโลกปีค.ศ. 1966 รวมถึงภาพถ่ายกีฬาในยุคนั้นเราจะเห็นถึงบรรยากาศที่แปลกใหม่รวมไปถึงจังหวะภาพที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นเป็นอย่างแน่

เจอร์รี่ แครแนห์ม เป็นคนนั้นเองที่บันทึกภาพเหล่านั้นไว้นอกจากฟุตบอลเขายังตามถ่ายกีฬามากมาย ไปจนถึงเป็นผู้ริเริ่มการใช้กล้องและรีโมตชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพหลังโกล์ฟุตบอลอีกด้วย ขอบอกไว้ก่อนว่าภาพถ่ายหลายภาพของเขามันมีเสน่ห์จนผู้เขียนเองยังหลงใหลและอยากซื้อมาเก็บไว้ด้วยซ้ำ

ไม่พอภาพถ่ายกีฬามันๆ ก็ยังมีอยู่ในยุคนั้นในแบบที่เราคาดไม่ถึงแน่นอน

 

_________________________________________________________________________________________________________

 

นักกีฬาสู่ช่างภาพ

แครแนห์ม เกิดในปีค.ศ. 1929 อันที่จริงตอนแรกเขาตั้งใจที่จะเดินทางในสายนักกีฬาอาชีพแต่ด้วยอาการบาดเจ็บให้ทำเขาต้องยุติเส้นทางนั้น เขาเคยเกือบได้เป็นถึงหนึ่งขาที่วิ่งคบเพลิงโอลิมปิคในกรุงลอนดอนในปีค.ศ. 1948 ด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดเขาเลยเลือกที่จะไปเป็นโค้ชนักกีฬาแทน ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้จับกล้องเป็นครั้งแรก เขาเริ่มถ่ายภาพของบรรดานักกีฬาเพื่อที่จะบันทึกข้อมูลการฝึกฝนต่างๆ แต่จนเขาอายุ 27 ปี นั่นแหละถึงจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้งานกล้องระดับมืออาชีพซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เขาเก็บบันทึกข้อมูลของนักกีฬาต่างๆ ที่เขาดูแลได้มากขึ้น 

“ผมคิดว่าการที่เราถ่ายรูปความผิดพลาดของพวกเขาไว้นั้นมันช่วยให้พวกเขาได้เห็นว่าต้องปรับปรุงยังไง ผมก็เลยเก็บเงินจำนวนหนึ่งเนี่ยแหละแล้วซื้อกล้อง Corfield Periflex (กล้องสัญชาติอังกฤษที่มีหน้าตาและฟังก์ชันแบบเดียวกับไลก้า)” แครแนห์ม ได้ให้สัมภาษณ์กับ Amateur Photographer ของอังกฤษ

ด้วยความพยายามเรียนรู้และขวนขวายของตัวเขาทำให้เขาทดลองสิ่งต่างๆ ทั้งมีการ์ดสำหรับวัดแสง และยังทดลองไปเรื่อยๆ เรื่องตลกที่เกิดขึ้นกับเขาคือเขาสามารถขายฟิล์มม้วนแรกที่เขาถ่ายในชีวิตได้ ซึ่งตอนนั้นเขากำลังเดินทางจากลอนดอนสู่ไบรท์ตันแล้วแถวนั้นมีสปอร์ตคลับอยู่ เขาก็เข้าไปถ่ายนักกรีฑาเหล่านั้น

“ผมขายได้เกือบทุกภาพในม้วนนั้นเลย เอาจริงผมว่ามันห่วยมากนะ”

หลังจากนั้นไม่นานภาพถ่ายของเขาก็ขายไปให้ทาง Athletics Weekly ได้และทำให้เขาได้ก้าวเข้าสู่วงการของช่างภาพกีฬา พอเขาเข้ามาอย่างเต็มตัวมากขึ้นก็เริ่มจริงจังตามลำดับถึงแม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าไม่ได้มีฝีมือที่มากมายในตอนแรกแต่ประสบการณ์ฟิล์มกว่าร้อยม้วน และการแข่งขันของช่างภาพกีฬายังไม่มากเท่าสมัยนี้กอปรกับทักษะความรู้ด้านกีฬาที่เขามีตั้งแต่สมัยก่อนทำให้เขารู้ว่าตรงนี้คือข้อได้เปรียบ 

พอเขาก้าวเข้ามาเป็นช่างภาพอย่างเต็มตัวในช่วงสามปีแรกเขามักจะได้รับมอบหมายให้ไปตามหมายข่าวของนักกีฬากรีฑาเป็นอย่างเดียวแต่พอหลังจากที่เขาเริ่มมีผลงานมากขึ้นเขาก็มีโอกาสได้ถ่ายกีฬาต่างๆ มากขึ้นจนได้เข้าไปเป็นช่างภาพให้กับ Fox Photos  แต่ด้วยที่อายุยังน้อยทำให้เขาต้องพะบู๊กับการถ่ายอยู่พอสมควรเนื่องจากเขายังไม่ได้ไปเป็นสมาชิกของสหภาพนักข่าว แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังมีการส่งภาพให้กับสำนักพิมพ์ท้องถิ่นอีกหลายเจ้า จนเขาได้พบกับ John Rodda  ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ The Guardian ฝั่งข่าวกีฬาทำให้เขาเริ่มมีคอนเนกชั่นที่มากขึ้น

John Lovesey ผู้สื่อข่าวของ Sports Illustrated เป็นอีกคนหนึ่งที่สำคัญกับชีวิตของเขา หลังจากที่สำนักพิมพ์ดังกล่าวได้ซื้อภาพของเขาไปใช้ทั้งสองคนก็เริ่มสนิทสนมกันและต่างช่วยเหลือกันและกันในด้านการทำงาน ตัวของ Lovesey เองนั้นมีประสบการณ์ร่วมกับช่างภาพกีฬามากมาย และช่วยแนะนำการทำงานให้กับ แครแนห์ม ได้มากจนเขาบอกว่า “ผมพัฒนาไปมากกว่าที่ผมคิดว่าจะทำได้”


โอกาสที่น่าประทับใจที่สุดในการทำงานร่วมกันของทั้งสองคนคือตอนที่ มูฮัมหมัด อาลี ได้มาซ้อมที่ลอนดอนก่อนขึ้นชกกับ เฮนรี่  คูเปอร์ และตัวอาลี เชิญพวกเขาไปถ่ายภาพพอร์ตเทรตของตัวเองที่โรงแรม Savoy ในลอนดอน ซึ่งภาพที่ออกมามันเป็นอีกบรรยากาศหนึ่งของตัวนักชกรายนี้เลยก็ว่าได้ หนำซ้ำหลังจากนั้นแครแนห์มก็ยังได้ไปถ่ายการชกครั้งนั้นอีกด้วย

ช่างภาพที่สรรค์หาสิ่งใหม่

หลังจากที่ แครแนห์ม หันมาเป็นช่างภาพกีฬาอย่างถาวรเขาได้เดินทางไปตามสนามฟุตบอลต่างๆ ที่เป็นแพสชันของเขาในภายหลัง และได้มีโอกาสบันทึกภาพถ่ายของตำนานนักเตะในลีกการแข่งขันของอังกฤษมากมายหลายคน ทั้ง บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน (แมนเชสเตอร์​ ยูไนเต็ด) บ๊อบบี มัวร์ (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด) , จิมมี่ กรีฟส์ (ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์) , ปีเตอร์​ ออสกู๊ด​ (เชลซี) และอีกมากมาย 

เขายังเป็นช่างภาพคนแรกที่นำระบบการถ่ายแบบใช้รีโมตเข้ามาสู่การถ่ายกีฬาในสหราชอาณาจักรอีกด้วย เขาให้สัมภาษณ์ไว้ว่าจำได้ดีเลยในตอนที่เขาติดตั้งมันอยู่ข้างสนามแล้วเอากล้องไปไว้ที่ตาข่ายโกล์ว่าพวกบรรดาช่างภาพต่างล้อเขาว่าทำอะไร แฟนบอลก็ไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่เขาได้มามันน่าทึ่งมากๆ กับจังหวะกระโดดของ จอห์น ฮอลโลว์เบรด ผู้รักษาประตูของทีม ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ภาพถ่ายภาพนี้ยังทำให้ความสงสัยของแครแนห์มต่อการทำงานในสายงานนี้สลายหายไปและกลับมามีความมุ่งมั่นที่จะเดินต่อไปในฐานะช่างภาพ

ภาพถ่ายโดยการใช้รีโมต © Gerry Cranham

นอกจากนี้ข้อแตกต่างของเขาในยุคดังกล่าวเราพูดได้เต็มปากเลยว่าคือการถ่ายภาพสี เพราะสมัยนั้นภาพสี ฟิล์มสี ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างทุกวันนี้ และคนยังมองว่าภาพสีมันยังเป็นเรื่องเล่นๆ มากกว่าแต่ แครแนห์ม ก็ยังยึดมั่นในเรื่องของภาพสีอยู่ดี มันทำให้เราเห็นว่าเขาเป็นช่างภาพที่มองสู่อนาคตมากๆ จากทั้งรีโมต และการเลือกใช้ฟิล์มสี

“ผมไปเจอคนนึงที่ทำงานให้กับ วอลต์​ ดิสนีย์ สุดสัปดาห์เขารับจ็อบเสริมทำงานเป็นนักข่าวกีฬา เขาบอกกับว่าผม ‘เจอร์รี่ ภาพสีมันคืออนาคตของวงการ นายควรจะถ่ายสีนะ’ เท่านั้นเลย 

“ตัวผมเองก็เห็นงานจาก Time หรือ LIFE และผมก็มองว่ามันเป็นอนาคตของวงการเลย พอผมเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่ใช้ฟิล์มสีในยุคนั้นที่อังกฤษนี่มันก็ทำให้ผมนำหน้าคนอื่นอยู่เหมือนกัน”

ยังไงก็ตามเรื่องสีไม่ได้เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้งานของ แครแนห์ม โดดเด่นแต่ยังมีเรื่องของเทคนิคการถ่ายต่างๆ การใช้ระยะซูมที่แตกต่าง มู้ดของรูปที่มันมีระยะโฟกัสต่างกันไป การละลายหลัง รวมไปถึงคอมโพสิชั่นที่แตกต่างไปจนถึงการเลือกเรื่องที่จะเล่าของเขา เช่น บรรยากาศ แฟนบอล หรือสภาพแวดล้อมของนักกีฬาก็ทำให้งานของเขาโดดเด่นขึ้น

จุดสูงสุดกับแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งประวัติศาสตร์ของอังกฤษ

จนในปี ค.ศ. 1966 เป็นปีที่ฟุตบอลโลกจัดขึ้นโดยมีประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพ และพวกเขาเองที่เถลิงแชมป์ในท้ายที่สุดและยังหักปากกาเซียนอย่างการคว่ำโปรตุเกสของ ยูเซบิโอ หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดก็ว่าได้ในสมัยนั้นตกรอบ ก่อนเข้าชิงกับเยอรมนีตะวันตกแล้วสุดท้ายได้ถ้วย จูลส์ ริเมต์ มาครอง ซึ่งเหตุการณ์ที่ว่านี้ผ่านม่านชัตเตอร์ และสายตาของ แครแนห์ม มาทั้งหมดแม้กระทั่งตรงพื้นที่ซุ้มม้านั่งสำรองที่มี เซอร์อัลฟ์ แรมซีย์ โค้ชทีมชาติอังกฤษยุคนั้นนั่งอยู่ เขาก็สามารถบันทึกช่วงเวลากระโดดดีใจของทุกคนไว้ได้

“ภาพยูเซบิโอที่กำลังเศร้าภาพนั้นได้รางวัลด้วย ผมคิดว่าภาพนั้นเป็นภาพสีภาพเดียวด้วยนะที่ผมถ่ายเขาไว้ เอาเข้าจริงมันยากมากเลยที่ถ่ายด้วยฟิล์มสี เพราะตอนนั้นฟิล์มที่ผมใช้มันคือ Ektachrome ASA 60 เอง (ASA เป็นค่าความไวแสงที่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นคำว่า ISO) คือผมก็มั่นใจในประสบการณ์ของตัวเองแต่มันก็ค่อนข้างควบคุมยากสำหรับการถ่ายกีฬา”

ยูเซบิโอ กับความผิดหวังที่ตกรอบ © Gerry Cranham

ในนัดชิงชนะเลิศอันที่จริง แครแนห์ม ได้รับมอบหมายโดย The Illustrated London News ให้ไปถ่ายภาพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ที่ 2 ตอนที่ทำการมอบถ้วยรางวัลให้กับผู้ชนะเลิศ แต่ตัวเขาเองมองว่ามันมีจังหวะอีกมากมายที่ให้ถ่ายเรื่องราวอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในเกม

พอใกล้สิ้นเสียงนกหวีดเป่าจบการแข่งขันขณะที่อังกฤษนำเยอรมนีตะวันตกอยู่ที่สกอร์ 3-2 เขาก็เริ่มเดินเพื่อไปรอถ่ายภาพที่ได้รับมอบหมายแต่ขณะที่เขาเดินอยู่นั่นเองเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องโหวกเหวกดีใจของกองเชียร์ทีมชาติอังกฤษดังขึ้นมาโดยต้นเหตุคือประตูที่ 4 ของพวกเขาที่เป็นการการันตีตำแหน่งแชมป์โลกของพวกเขาทันที 

แครแนห์ม ไม่สามารถบันทึกจังหวะนั้นไว้ทันหากแต่เขาหันไปเห็นพื้นที่ม้านั่งของผู้เล่นสำรอง และบรรดาทีมโค้ชของทีมชาติอังกฤษที่กำลังตะโกนโห่ร้อง และกระโดดดีใจกันอย่างบ้าคลั่งแต่เฮดโค้ชอย่าง เซอร์อัลฟ์ แรมซีย์ กลับนั่งนิ่งและมองไปข้างหน้าอย่างเฉยชา เขาเลยเลือกที่จะบันทึกจังหวะนั้นไว้อย่างไม่ลังเล

ภาพถ่ายภาพนั้นกลายเป็นภาพถ่ายที่ใครต่างพูดถึงในภายหลัง และเป็นภาพถ่ายสำคัญของวงการฟุตบอลอังกฤษ

ม้านั่งโค้ชของทีมชาติอังกฤษ © Gerry Cranham

แครแนห์ม ยังพูดถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไปของการถ่ายภาพ โดยเฉพาะบรรดาช่างภาพในฟุตบอลโลกที่มีจำนวนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยในปีค.ศ. 1966 นั้นมีช่างภาพอยู่เพียง 30 คนเท่านั้น และมีเพียงเขากับช่างภาพอีกหนึ่งคนที่ถ่ายภาพสี

“ผมแบกกล้องไว้สี่ตัวได้แต่ละตัวมีเลนส์แตกต่างกันไป เช่น 200มม. 30มม. 50มม. อะไรประมาณนี้ และพอมันเป็นฟิล์มโอกาสที่จะพลาดมันต้องน้อยขณะเดียวกันภาพที่ออกมามันต้องใช้งานได้ ผมจำได้ว่าผมใช้สมองกับร่างกายหนักมากทั้งวางเฟรม วัดแสงให้เป๊ะ โหลดฟิล์มให้กล้องเต็มไว้ตลอด อันที่จริงมันก็เป็นการฝึกฝนนั่นแหละเหมือนที่ผมฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก แต่พอเป็นสมัยนี้มันง่ายขึ้น กล้องดิจิทัลช่วยเราได้เยอะมากเหมือนกัน แต่มันก็ส่งผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกันอยู่”

_________________________________________________________________________________________________________

ในช่วงขณะหนึ่งของชีวิต เจอร์รี่ แครแนห์ม ได้รับโทรศัพท์จากพิพิธภัณฑ์​ V&A (Victoria & Albert Musuem) เพื่อที่จะของานของเขาไปจัดแสดงแต่เขาปฏิเสธทางพิพิธภัณฑ์ไปค่อนข้างบ่อยเพราะง่วนอยู่กับการถ่ายงานของเขาจนเวลาผ่านไปเป็นเดือนที่ทางพิพิธภัณฑ์ยังโทรมาไม่หยุดเขาก็ยอมรับข้อตกลง โดยพิพิธภัณฑ์ก็บอกว่างานของเขามันไม่ใช่แค่ภาพถ่ายกีฬาทั่วไปแต่พวกเขามองเห็นว่ามันเป็นงานศิลป์มากกว่าภาพถ่ายกีฬาของคนอื่นๆ 

โดยก่อนหน้างานของเขานั้นที่พิพิธภัณฑ์ได้รับเกียรติจาก Henri Cartier-Bresson และเขาเป็นช่างภาพคนที่สองที่ได้จัดแสดงงานที่นี่

_________________________________________________________________________________________________________

ที่มา :

https://www.amateurphotographer.co.uk/technique/interviews/gerry-cranham-on-his-legendary-sports-photography-career-161175

https://www.amateurphotographer.co.uk/technique/interviews/sports-photography-fever-pitch-89344

https://flashbak.com/this-sporting-life-gerry-cranhams-fantastic-photographs-capture-the-beauty-and-drama-of-sport-448439/

https://www.blind-magazine.com/stories/gerry-cranham-a-life-devoted-to-sports-photography/

https://www.theguardian.com/sport/gallery/2021/dec/04/this-sporting-life-looking-through-gerry-cranhams-lens-in-pictures

พิสูจน์อักษร : ชลดา สวนประเสริฐ