brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Mar 2025

ชัยพฤกษ์ เฉลิมพรพานิช
Nice to Meet You in Time
เรื่องและภาพ: ชัยพฤกษ์ เฉลิมพรพานิช
4 Dec 2020

“ถ้าพรุ่งนี้ฝนไม่ตก เราเข้าบังไพรไปเฝ้าถ่ายรูปกระทิงกันนะครับ…”

คำชักชวนนี้ทำเอาผมดีใจจนหุบยิ้มไม่ลง 

ด้วยแรงบันดาลใจมากมายในหลายปีมานี้ที่พยายามผลักผมออกจากกรุงเทพ ให้ออกไปเจอกับโลกธรรมชาติ ประหนึ่งเหมือนการบำบัดตัวเองจากโลกดิจิทัลที่หมุนเร็วจนเราแทบจะหยุดไม่อยู่

ในแง่ของช่างภาพภาพยนตร์ที่ต้องทำงานกับเทคนิคและอุปกรณ์ที่ก้าวหน้าจนหัวหมุน ผมกลับศึกษาภาพถ่ายธรรมชาติในยุคก่อน เพื่อค้นหาว่าการถ่ายภาพแบบที่เราไม่สามารถไปปรุงแต่งอะไรได้ มันเป็นอย่างไร และไอมวลความรู้สึกของ หม่อมเชน (ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ) ที่ไปนั่งในป่าเป็นวันโดยที่สุดท้ายก็ไม่ได้กดชัตเตอร์มาสักใบนั้นคืออะไร?

ผมเริ่มต้นพาตัวเองไปพบเจอธรรมชาติแบบคนไม่รู้อะไรด้วยกล้องฟิล์มตัวเล็กๆ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ปีกล้องฟิล์มเหล่านั้นก็เหมือนจะเติบโตและออกลูกออกหลานเองได้ แถมลูกหลานที่คลอดออกมาบางครั้งก็ตัวโตเกินพ่อแม่มันไปหลายช่วง บ้างก็แปลงสัญชาติจากเอเชียเป็นยุโรป สลับปนเปไปมาเต็มไปหมด 

กว่าสองวันที่ผมอยู่กับเจ้าหน้าที่ผ่านการยื่นจดหมายไปทางกรมอุทยานแห่งชาติ เพื่อขอเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ภูเขียว อย่างถูกระเบียบ ต้องขอขอบคุณเสือดำตัวนั้นที่ทำให้การเข้าสู่ป่าชั้นในเข้มงวดมากขึ้น…. 

สองวันที่ได้ขอความรู้ ได้เดินตามเพื่อดูนกและกวางในบริเวณรอบๆ หน่วยที่พัก จนในที่สุดขณะที่ผมกำลังแกะทากที่เกาะเต็มขา หลังจากเราลุยดงทากเพื่อเข้าไปสำรวจ เป็ดก่า ที่กำลังจะฟักไข่ อาเฌอ เจ้าหน้าที่ประจำภูเขียว ก็ได้เอ่ยคำชวนที่ผมรอมานานแสนนาน… “ห้าง”

ตลอดมื้อค่ำที่แคมป์ บทสนทนาส่วนใหญ่ไม่พ้นเรื่องราวของการเฝ้าดูสัตว์ผ่าน “ห้าง” และ “บังไพร”

ให้ความรู้สึกของโค้ชที่กำลังทบทวนแผน ก่อนที่จะปล่อยให้นักกีฬาได้ลงสนามจริง  

ส่วนตัวนักกีฬาเองก็กำลังครุ่นคิดว่า จะเอายังไงดี ถ้าไปถึงสนามแข่งแล้วจะถ่ายภาพออกมาอย่างไร  

เช้าวันรุ่งขึ้น ราวกับเด็กได้ไปเที่ยวสวนสนุก… อุปกรณ์เต็มกระเป๋าหลัง กล้องส่องทางไกลคาดไว้ที่เอว กล้อง 135 คล้องที่คอประกอบเลนส์ระยะกลาง พร้อมบันทึก และสอดส่องการเดินทางเข้าป่า แบบที่เรียกว่าป่าจริงๆ ครั้งแรก อาเฌอมองผมยิ้มๆ ก่อนจะเริ่มเดินเข้าไปข้างในป่า ตามเส้นทางที่เรียกว่า “ด่าน”

เวลาเดินในป่าลึก บางครั้งเราจะเห็นเส้นทางที่ราวกับว่าเป็นทางเดินที่มีใครมาทำไว้ให้เดิน ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะมันคือทางที่สัตว์เค้าใช้เดินกันเป็นประจำจนกลายเป็น ด่าน เรามาขอยืมถนนส่วนบุคคลของเค้าเดินเล่น… แต่อย่างว่าถนนที่สี่เท้าทำ…จะให้สองเท้าอ่อนประสบการณ์นี้เดินอย่างสบายก็คงเป็นไปได้ยาก 

อาเฌอ ที่ใส่เพียงรองเท้านันยางและถุงกันทาก เดินนำพลางหันกลับมามองผมที่แค่พยายามเดินให้ไม่สะดุด ไม่โดนกิ่งไม้เกี่ยวก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว อาเฌอพยายามหยุดให้ฟังเสียงนกพลางบอกชนิดของนกและชี้ให้ดู  ทั้งนกกระทา นกเดินดง แค่การเดินตามให้ทันยังยาก กล้องส่องทางไกลแบบสองตาที่เอวไม่ได้หยิบออกมาส่องตามที่อาเฌอชี้ชวนให้ดู อีกทั้งกล้องที่คล้องอยู่ที่คอราวกับนักท่องเที่ยวเดินชมเมืองช่างเกะกะเหลือเกินเวลาต้องปีนป่ายข้ามต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทางเดิน…

ผมเดินตามมาจนทัน อาเฌอหยุดมองไปที่พื้นข้างหน้า ผมกวาดสายตามองตามเห็นรังผึ้งรังใหญ่อยู่ที่พื้น อาเฌอ พยายามใช้ทักษะในการแกะรอย พลางอธิบายออกมาเป็นภาพให้ผมเห็นราวกับนักสืบที่กำลังไขคดีพิศวงว่า รังผึ้งนี้ หล่นลงมาได้อย่างไร

“หมีควายครับ…นี่รอยเท้ามัน และนั่นก็รอยเล็บที่ปีนขึ้นต้นไม้ไปเอารังผึ้ง” 

อาเฌอ ชี้ให้ดู

“มันตีรังแล้วลงมาเก็บกิน…นั่นมันเอาไปนั่งกินตรงนั้น” 

ภาพ หมีพูห์ ตัวอ้วน นั่งพิงโคนต้นไม้หยิบรังผึ้งมากินน้ำหวานอย่างสบายใจ ดังในการ์ตูนเกิดขึ้นในหัวของผม

แต่สำหรับ อาเฌอ นี่คือบทเรียนที่เค้ากำลังศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ป่า เพื่อเก็บไว้ในคลังประสบการณ์ อีกทั้งยังวิเคราะห์และพยายามหาสิ่งที่ผิดปกติ ในกรณีถ้ามีสิ่งใดกำลังรบกวนวิถีชีวิตของสัตว์ป่า 

“ข้ามอีกสามลำธารก็จะถึงครึ่งทางแล้วครับ” 

ผมสูดหายใจลึกๆ และช้าๆ เพื่อรักษาอาการ การวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำในเมืองมีส่วนช่วยให้ผมไม่ดูอ่อนหัดเกินไปนัก แต่เม็ดเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้าคงจะให้โกหกว่าไม่เหนื่อยเลยก็คงยาก 

“แวะจิบน้ำซักหน่อยก็ได้ครับ”  อาเฌอบอกผมด้วยลมหายใจปกติ 

ผมพยายามเดินตามหลังอาเฌอให้ใกล้มากขึ้น ใกล้มากพอจะได้ยินสิ่งที่อาเฌอพยายามชี้ชวนให้ดูและเล่าถึงพฤติกรรมต่างๆ ของสัตว์ป่า…กล้องที่เคยคล้องคอตอนนี้อยู่ในกระเป๋าหลังเป็นที่เรียบร้อย 

หลังจากเดินไปอีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง เราทั้งสองข้ามลำธารขึ้นมา อาเฌอหยุดและหันมาบอกผมว่า “พักตรงนี้ซัก 5 นาที ผึ่งลมให้กลิ่นเหงื่อแห้งก่อน เพราะกระทิงจะไวต่อกลิ่นเหงื่อและกลิ่นตัวของเรามาก” ผมปลดกระเป๋าหลังที่บรรจุไปด้วยกล้องอันหนักอึ้งลง จิบน้ำและพักเหนื่อย จนเหงื่อแห้ง

“เดินไปทางนี้อีก 200 เมตรจะถึงโป่งก่อนและ บังไพรจะอยู่ทางทิศใต้ลมห่างออกไป 50 เมตร” 

อาเฌอบอกผม หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นมาเอง

“จากตรงนี้พยายามเดินให้เบาที่สุดนะครับ” 

เราออกเดินอีกครั้ง อาเฌอชี้ให้ดูโป่งและรอยเท้ากระทิงมากมาย อาเฌอกระซิบบอกว่า “นี่เป็นรอยของเมื่อวานแสดงว่าฝูงใหญ่เพิ่งมากินไป” ผมมองไปที่โป่ง หน้าตามันคล้ายแอ่งน้ำ แอ่งโคลนที่มีแร่ธาตุสารอาหารที่สัตว์ป่าโดยเฉพาะสัตว์กินพืชต้องมากิน และแน่นอนที่ตรงนี้ก็ต้องกลายเป็นแหล่งรวมตัวของสัตว์นักล่าที่มาเฝ้าเหยื่อที่ลงมากินโป่ง ดังนั้น สัตว์ป่าที่จะลงมากินโป่งจะมีเรดาร์ในการ ระวังไพร(ภัย) สูงมาก…

“บังไพร” เป็นเหมือนบ้านต้นไม้หลังเล็กๆ ที่สร้างคล่อมต้นไม้ขนาดกลาง 2 ต้น สูงจากพื้นประมาณ 8 เมตร บันไดทางขึ้นทำจากการเอาเชือกมาผูก อาเฌออธิบายภายหลังว่าถ้าตอกไม้เป็นบันไดไว้ ช้างป่าชอบมารื้อออก การเอาเชือกมาผู้ไว้เป็นขั้นๆ เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดี…

ผมยกมือขึ้นไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามอาเฌอ ก่อนจะก้มลงกระชับขาตั้งกล้องกับกระเป๋าหลังให้แน่น ผมเงยหน้ามองอาเฌอที่ปีนขึ้นบนบังไพรอย่างคล่องแคล่วและทิ้งเชือกลงมาให้ผมมัดกระเป๋ากล้องเพื่อดึงขึ้นไป….

ผมปีนป่ายบันไดเชือกตามจังหวะที่เห็นอาเฌอทำ…หลังจากขึ้นมานั่งบนบังไพรแล้ว ผมมองไปรอบๆ พยายามขยับตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง พลางเปิดกระเป๋ากล้องและเริ่มจัดการอุปกรณ์กล้อง 

NIKON F3/T และ เลนส์ NIKON 400mm f3.5 ประกอบเข้ากับขาตั้งกล้อง 

PENTAX 6×7 กับระยะเลนส์ 90mm วางอยู่ที่ข้างตัวอีกฝั่ง 

กล้องส่องทางไกลสองตาถูกนำมาวางไว้ใกล้ๆ ตัว 

“กระทิงอยู่บนเนินข้างบน ผมได้ยินเสียงหายใจของมัน…ถ้าเราโชคดีอีกเดี๋ยวมันคงลงมา” 

อาเฌอกระซิบบอกผม ขณะที่ผมพยายามฟังแต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงนกระวังไพร(ภัย) 

หลังจากที่เรานิ่งจนทุกอย่างเริ่มสงบ จัดการกับทากบางตัวที่ไต่ขึ้นมาถึงคอเสื้อ หัวใจผมกลับมาเต้นในจังหวะปกติแล้ว ผมกระซิบบอกอาเฌอว่า “ขอถ่ายรูปจากวิวนี้ที่เห็นโป่งเปล่าๆ เอาไว้ซักรูป” เผื่อว่าวันนี้เราไม่เจอสัตว์เลยผมจะเอารูปใบนี้อัดแล้วแปะไว้ที่หัวนอนเตือนตัวเอง…. อีกนัยนึงผมอยากหยั่งเชิงถามอาเฌอถึงเสียงชัตเตอร์ของเจ้ากล้องยักษ์ใหญ่ 6×7 ตัวนี้ว่าเสียงลั่นชัตเตอร์นี้จะดังจนทำให้สัตว์ตกใจหรือเปล่า…

ผมหยิบเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ภายในบรรจุฟิล์มขาวดำ KODAK TRI-X ขึ้นมาลั่นชัตเตอร์ใส่โป่งที่ว่างเปล่าจากช่องแอบมองในบังไพร…..

“แชร่บบบ!!” เสียงชัตเตอร์อันหนักแน่นดังขึ้น

“ให้มั่นใจว่าได้ภาพที่ต้องการแล้วค่อยถ่ายด้วยกล้องนี้ละกันครับ”

 อาเฌอยิ้มเล็กๆ บอกผม

ระหว่างเฝ้ารออย่างสงบไร้ซึ่งการพูดคุย ผมถามตัวเองขึ้นมา…ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ผมรู้สึกว่า ต้องพาตัวเองมาไกลมากกว่าจะถึงกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนต้นไม้กลางป่าลึกเพื่อเฝ้ามองบางอย่าง แต่นี่ก็คือที่ๆ ผมเฝ้าฝันถึงตลอดสองปีมานี้ สถานที่ที่เราไม่สามารถไปปรุงแต่งอะไรมันได้เลย…

“กระทิงแม่ลูกกำลังเดินลงมาจากทางขวาครับ….ค่อยๆ ขยับตัวนะครับ…รอเค้าก้มกินให้สบายใจก่อนค่อยกดชัตเตอร์” 

อาเฌอกระซิบและกำชับอย่างเด็ดขาด 

ผมตื่นจากภวังค์ เงยหน้ามองออกไปผ่านช่องมอง….อีกซักชั่วอึดใจ ภาพที่อาเฌอบอกก็เกิดขึ้นตรงหน้าผม กระทิงแม่ลูกค่อยๆ เดินลงมาจากเนินและมาหยุดที่หน้าโป่ง กระทิงแม่มองรอบๆ ระวังไพร(ภัย)ให้กับลูกน้อย 

ผมแทบกลั้นหายใจขณะที่กระทิงตัวนั้นมองเหลือบมาทางผม ซักพักกระทิงแม่เดินนำลงไปในโป่ง ลูกน้อยตามติดไป ผมค่อยๆ ขยับตัวเอาตาเข้าไปแนบที่ช่องมองภาพ พลางหันไปส่งสัญญาณบอกอาเฌอว่าถ้าถึงเวลากดชัตเตอร์ได้แล้วให้แตะที่บ่าผม

ผมปรับระยะโฟกัสให้เข้าที่ กระทิงตัวแม่เริ่มก้มกินโป่งเป็นสัญญาณให้ตัวลูกเริ่มทำตาม ก่อนที่สัญญาณจากอาเฌอจะมาถึงบ่าผม มีลมวูบนึงพัดเข้ามาผ่านหลังผมไป….หลังจากนั้น 1 อึดใจ กระทิงตัวแม่เงยหน้าขึ้นพลันหันมาทางผมและเหมือนกับจ้องเอามาในเลนส์ผมเลยทีเดียว หลังจากเราสบตากันผ่านเลนส์ กระทิงตัวแม่ก็กระโจนออกจากโป่งโดยมีลูกกระโจนตามออกไปทันที….

กระทิงรับรู้กลิ่นได้ดีที่สุด ส่วนสายตาของเค้านั้นมองเห็นแค่ 10 เมตรข้างหน้าเท่านั้นเอง….

ผมหันไปบอกอาเฌอว่า “ผมโอเคมากๆ ถึงวันนี้จะไม่เจอกระทิงอีกผมก็ไม่เสียดายแล้ว” อาเฌอปลอบใจผมว่ายังมีหวัง เพราะยังไม่ได้ยินเสียงหายใจของฝูงอยู่ข้างบนเนิน ถ้าลมสงบเค้าอาจจะลงมาอีก….

เวลาผ่านไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ขณะผมกำลังมองเจ้ากระรอกหลากสีที่ปีนขึ้นมาโชว์ตัวอยู่หน้าช่องแอบมองในระยะใกล้ อาเฌอสะกิดไหล่ผมอีกบอกว่าคราวนี้เป็นแม่ลูก 2 คู่กำลังมาที่ทางเดิม ถึงตอนนี้ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าอาเฌอไปเห็นมาจากช่องมองไหน ทั้งๆ ที่เราก็นั่งอยู่ด้วยกันแท้ๆ

ลมสงบ กระทิงแม่ลูกก้มกินโป่งอย่างสบายใจ จากมุมที่ผมนั่งมีต้นไม้บังตัวกระทิงอยู่ ในใจผมอยากจะขยับกล้องไปทางขวาอีกซัก 1 ฟุต แต่เมื่อสัญญาณมาแตะที่ไหล่ ผมก็ไม่ลังเลที่จะกดชัตเตอร์ลงไปทั้งๆ ที่ภาพกระทิงนั้นโดนต้นไม้บังอยู่บางส่วน….

กระทิงแม่ลูกทั้ง 2 คู่ อยู่ตรงนั้นให้เราถ่ายภาพได้ซักพัก ก่อนจะเดินจากไป…

ผมหันไปยิ้มให้อาเฌอและยกมือไหว้ขอบคุณ 

อาเฌอยิ้มให้ผม 

“เรารออีกซักพักค่อยกลับออกไปก็แล้วกัน….”

ผมก้มมองเจ้ายักษ์ 6×7 ที่ยังนอนนิ่งอยู่ ผมยิ้มตอบอาเฌอ ทันใดนั้นเองอาเฌอเปลี่ยนสายตาแล้วบอกให้ผมเงียบ 

อาเฌอชี้ออกไป แล้วกระซิบเสียงเบาที่สุดว่า 

“ตัวผู้ตัวใหญ่กำลังเดินลงมาทางด้านซ้าย” 

ผมแทบหยุดหายใจ มองตามออกไปในมือกำเจ้า PENTAX 6×7 แน่น

กระทิงตัวผู้ขนดำขลับ ใส่ถุงเท้าสีขาว กล้ามเนื้อสะท้อนแสงเงาเห็นอย่างชัดเจน ค่อยๆ เดินย่ำโคลนลงมายืนที่กลางโป่งอย่างสง่างามก่อนหันมองไปรอบๆ แล้วเริ่มก้มลงกินโป่งอย่างสบายใจ

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเปล่าๆ คู่นี้ จนพอใจ

ผมค่อยๆ ยกเจ้ายักษ์ใหญ่ในมือขึ้นมาประทับที่ตาผ่านช่องแอบมองของบังไพร ที่กลางเฟรมคือเจ้ายักษ์ใหญ่ที่กำลังก้มลงกินโป่ง…. เสียงชัตเตอร์ดังลั่นออกมา 

นี่เป็นภาพที่ผมจินตนาการมาตลอดคืนที่แคมป์ 

ผมรู้สึกถึงน้ำตาตัวเองที่รื้นออกมานิดๆ พร้อมรอยยิ้มของผมเอง…

พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ