brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Mar 2025

‘ไข่มุก - นพพรรณ พรวนสุข’
BUNNY ROOM MANSION
เรื่อง: อสมาภรณ์ พิริยะโภคานนท์
ภาพ: ธันวา ลุจินตานนท์
1 Feb 2023

อย่างที่ทุกคนรู้ดี ปีนี้คือปีกระต่าย

และถ้าทุกคนยังจำ Bunny Shoot Film ผู้นำเข้าฟิล์มเอฟเฟกต์ dubblefilm และเจ้าของสายคล้องกล้อง New Wave รูปคลื่นหลากสีสันได้ ทางร้านก็เพิ่งเป่าเค้กวันเกิดครบรอบ 3 ปี เต็มไปเมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา

ฤกษ์งามยามดีแบบนี้ เราเลยอยากชวนหญิงสาวเจ้าของแบรนด์กระต่ายถ่ายฟิล์ม ‘ไข่มุก–นพพรรณ พรวนสุข’ มานั่งพูดคุยอัปเดตชีวิตกันอีกสักรอบ หลังขยับขยายธุรกิจมาเปิด Bunny Room Mansion สตูดิโอถ่ายภาพย่านพระรามสองอย่างเต็มตัว

สำหรับใครที่อยากย้อนกลับไปอ่านจุดเริ่มต้นของไข่มุกใหม่อีกครั้งเป็นการเตือนความจำก่อนจะเริ่มบทสนทนาด้านล่าง สามารถติดตามได้ที่ลิงก์นี้ 

คุยกันคราวก่อนถึงเรื่องความชอบในภาพถ่าย คราวนี้ขอย้อนกลับไปไกลอีกหน่อย วัยเด็กของไข่มุกเป็นแบบไหน

เราไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งอะไร ไม่ถนัดวิชาการเลย ไม่ชอบมาตั้งแต่เด็ก มีวิชาที่ทำไม่ได้จริงๆ เช่นคณิตศาสตร์ หรืออะไรที่เป็นวิชาการจัดๆ จะไม่สามารถทำได้เลย คือเอาตัวรอดลุ่มๆ ดอนๆ มาได้ตลอดนะ แต่ก็จะเป็นอะไรที่พ่อแม่ค่อนข้างกังวล แล้วก็จะมีครูที่คอยดูถูกเราอยู่

ครูพูดว่าอะไรตอนนั้น

บอกว่าเราเกเร ไม่มีทางสอบเข้ามหาลัยติด เพราะหล่อนแรดไปวันๆ ซึ่งถามว่าจริงไหม ก็จริงนะ (หัวเราะ) เราชอบแต่งตัวมาก โรงเรียนเองก็ค่อนข้างให้อิสระในระดับนึง รองเท้าถุงเท้าเลือกเองได้ แต่จุดที่ทำให้เราโดนด่าคือเราใส่ที่คาดผมโบว์ไปโรงเรียน

ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนด่า เราแค่ชอบแต่งตัว ก็เลยมีเครื่องหัวเกิดขึ้น ปรากฏว่าครูไม่โอเค ทั้งที่จริงๆ แล้วตามกฎโรงเรียนก็ไม่มีห้ามตรงนี้ แต่ครูบอกว่าเครื่องหัวเราใหญ่เกินไป เราว่าก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นนะ แค่ใหญ่กว่าคนอื่น

การเติบโตมาในบ้านที่ทำธุรกิจเสื้อผ้ามาก่อน มีส่วนทำให้ไข่มุกเป็นคนชอบแต่งตัว ชอบการดีไซน์ด้วยไหม

พูดยาก เพราะเราโดนเลี้ยงมาแบบนี้ เราเลยไม่รู้ว่าถ้าโดนเลี้ยงอีกแบบเราจะยังเป็นคนเดิมรึเปล่า แต่ว่าก็เชื่อว่าน่าจะมีผลนะ อย่างที่บ้านจะสอนให้หาเงินเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สมมติว่าต้องช่วยแม่แพ็คของ เขาก็จะให้ค่าตอบแทนเป็นเงินเลย อาจจะได้ตัวละไม่ถึงบาท แต่เขาจะไม่มีมาพูดทำนองว่าทำเพื่อช่วยเหลือที่บ้าน ให้เรารู้สึกกดดันว่าต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ซึ่งเราว่าดีนะ ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีความอยากขายของ มีความเป็นแม่ค้าตั้งแต่เด็ก

แล้วเราก็เคยทำเสื้อผ้าตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาบลายธ์ขายเองตอนมัธยม ก็เลยคิดว่ามันคงเป็นทางที่เราชอบแล้วล่ะ เราชอบดีไซน์เสื้อผ้า อยากเข้าแฟชั่น จุฬาฯ อีกเหตุผลเพราะว่าเมื่อก่อนที่บ้านมีพี่ดีไซเนอร์คนนึงจบแฟชั่น จุฬาฯ มา ตอนนั้นมองเขาเป็นไอดอลเลย รักพี่คนนี้มาก ก็เลยมีเป้าหมายว่าอยากจะสอบเข้าให้ได้เหมือนเขา

พอเข้าไปเรียนได้แล้วเป็นยังไงบ้าง

การเข้ามหาวิทยาลัยเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเลย อย่างที่บอกว่าตั้งแต่เด็กเราเอาตัวรอดแบบใช้ดวงมาเรื่อยๆ ไม่เคยลงมือทำอะไรจริงๆ จังๆ ใช้ชีวิตแบบแพลน B มาตลอด ยกตัวอย่างตอนไปแลกเปลี่ยน ประเทศแรกที่เราอยากไปเราก็ไปไม่ได้เพราะต้องสอบแข่งกับคนเก่งกว่า เรารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางชนะ สุดท้ายเราก็แพ้จริงๆ ได้ไปประเทศที่ไม่ใช่แพลนของเราเลย ดังนั้นการเข้ามหาวิทยาลัยได้เลยเป็นครั้งแรกที่ตั้งใจพุ่งไปหาแพลน A แล้วทำสำเร็จ

พอช่วงฝึกงาน เราไปฝึกกับแฟชั่นเฮ้าส์ที่ออสเตรเลียชื่อแบรนด์ Dion Lee เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมนี้แบบ 100% เขาก็ให้เราเริ่มทำตั้งแต่ลอกลายลอกแพตเทิร์น ทำให้เราเรียนรู้ว่าไม่ใช่จู่ๆ เราจะข้ามขั้นตอนเป็นดีไซเนอร์ได้เลย มันมีขั้นตอนของมันอยู่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดของเสื้อผ้าคือแพตเทิร์น ต่อให้คนใส่จะอ้วน จะผอม หรือจะอะไรก็ตาม เสื้อผ้าต้องทำให้เขาใส่แล้วดูดีขึ้นได้

แล้วฝึกงานครั้งนี้ก็ทำให้เรารู้อีกว่าเราไม่ชอบแพตเทิร์น

อ้าว…

เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ชอบคณิตศาสตร์ ไม่ชอบใช้ไม้บรรทัด แต่การทำแพตเทิร์นมันต้องใช้ไม้บรรทัด ต้องใช้วงเวียนในการตีเส้นอยู่ตลอด คือแค่มีตัวเลข 1 นิ้ว 2 นิ้วเข้ามาเกี่ยวแล้วก็ไม่ชอบแล้ว เราเลยรู้สึกว่าเราไม่สามารถเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าที่ดีได้ เพราะว่าเราไม่สามารถทำแพตเทิร์นเองได้ 

เราอาจจะออกแบบเสื้อผ้าสวยได้ก็จริง แต่มันก็สวยแค่บนตัวนางแบบไซส์เดียว ทั้งๆ ที่ความจริงเสื้อผ้าต้องทำให้ทุกไซส์ใส่แล้วสวย การเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์สำหรับเราเป็นแบบนั้น พอเรารู้ตัวว่าเราทำหน้าที่นั้นไม่ได้ เราเลยตัดสินใจว่าดีไซเนอร์เป็นสิ่งที่เรียนจบมาเราจะไม่ทำ เพราะเรารู้ว่าเราขาดอะไร พลาดตรงไหน แต่เราไม่สามารถเติมสิ่งที่เราขาดไปได้

 

ไม่ใช่ทั้งแพลนเอ แพลนบี เพราะนี่คือชีวิตที่ไม่มีแพลน

ไม่มีภาพอะไรในหัวเลยตอนนั้น มันไม่ใช่แพลน B ด้วยซ้ำ เราเคยคิดว่าถ้าได้ฝึกงานแล้วต้องรู้แน่เลยว่าอยากจะทำงานที่ไหน อยากจะอยู่ตรงไหนในวงการแฟชั่น ปรากฏว่าแย่ละ กลายเป็นได้รู้ว่าจริงๆ ไม่อยากทำแฟชั่น แต่เรียนแฟชั่นมา 4 ปี เป็นความฝันทั้งชีวิต คิดว่าตัวเองจะเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ สรุปไม่ได้อยากเป็น แต่ถามว่ายังชอบทำเสื้อผ้าอยู่ไหม เราก็ยังรับทำสไตล์ลิสอยู่นะ ทำไปซัฟเฟอร์ไปบ้าง แต่ก็ยังมีความชอบเล็กๆ ที่ไม่อยากทิ้งไป

แล้วทำยังไงต่อ

หลังจากนั้นก็มีคนรู้จักของที่บ้านชวนไปเป็นดีไซเนอร์ที่บริษัทจิวเวลรี่ ทำทุกหน้าที่ของการออกแบบเลย ตั้งแต่ออกแบบจิวเวลรี่ ออกแบบแพคเกจจิ้ง ออกแบบไวนิล จัดหน้าร้าน จนเหมือนไปช่วยทำแบรนด์ดิ้งให้เขาเลย ซึ่งทำไปก็ค้นพบว่าไม่ชอบอยู่ดี เราไม่ชอบทำงานในบริษัทแบบเริ่ม 8 โมง เลิก 5 โมง ไม่ชอบระบบนี้ พอทำได้ 2 ปีก็เลยตัดสินใจว่าโอเค จะลาออก

แล้วด้วยความที่ตอนนั้นก็เริ่มนำเข้า dubblefilm มาขายเล่นๆ อยู่แล้ว เราก็เลยมาคำนวณดูว่าถ้าสมมติเดือนนึงเราขายได้ประมาณนี้ ประหยัด กินข้าวบ้าน ก็น่าจะอยู่ได้ไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อ หลังจากออกมาอยู่แบบไส้แห้งสักพักใหญ่ๆ เริ่มจริงจังกับ Bunny Shoot Film มากขึ้น ก็ไม่รู้อยู่ที่ดวงด้วยหรือเปล่า เพราะกระแสการเล่นฟิล์มมันเข้ามาในกลุ่มลูกค้าที่เราตั้งไว้พอดี ทุกคนอยากได้รูปฟิล์มไปหมด ร้านเราก็เลยมีชื่อขึ้นมา ก็เลยไปต่อได้ง่ายกว่าคนอื่น 

แล้วความชอบถ่ายรูปมีมาตั้งแต่ตอนไหน เพราะที่ผ่านมาไข่มุกดูเหมือนสนใจแฟชั่นมาตลอด

ถ้าให้มองย้อนกลับไปคงเป็นตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม ที่บ้านเรามี iMac อยู่เครื่องนึง ก็ชอบชวนเพื่อนมาบ้าน มาถ่ายรูปแอป Photobooth เล่น มีธีมแต่งตัวทุกอาทิตย์ วันนี้เราจะมาแนวร็อกกันนะ วันนี้เราจะเป็นโบฮีเมียน ก็แต่งหน้า ทำพร็อพกัน ถ่ายเสร็จโพสต์ลง Hi5 แค่นั้น ตอนไปแลกเปลี่ยนก็ไปชวนเพื่อนฝรั่งทำแบบนี้เหมือนกัน (หัวเราะ) 

หรือสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เวลาที่เราทำเสื้อผ้า สิ่งที่เราอินที่สุดคือตอนถ่ายแบบ กับตอนจัดเลย์เอาท์รูปที่ถ่ายมาเพื่อทำเล่มส่ง มีความสุขที่สุดตอนเห็นรูปแล้วรู้ว่าต้องทำอะไรกับมันต่อ ได้คิดเอง ทำเอง แต่งรูปเอง พอมองย้อนกลับไปแบบนี้ เอาจริงๆ เราก็คงชอบมานานแล้วแหละ แต่แค่ในช่วงที่ทำงานไม่ได้โฟกัสกับมัน

พูดถึงความชอบ มีความชอบไหนที่มีอิทธิพลกับตัวตนหรือผลงานของไข่มุกมากเป็นพิเศษไหม

เราไม่มีไอดอลเป็นตัวเป็นตน ดีไซเนอร์บางคนที่เคยชอบงานเขาคอลเลกชันนี้ พอคอลเลกชันต่อไปออกมาบางทีเราก็ไม่ชอบแล้ว ที่จริงตอนติวสอบเข้าแฟชั่น เขาก็จะให้เราเลือกยึดไอดอลที่ชอบไว้คนนึง จะได้ศึกษาการทำงานหรือดีไซน์ของเขา ซึ่งเราก็พยายามจะยึดอย่างนั้น แต่บางคอลเลกชันเราไม่ชอบจริงๆ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ เราดันไปชอบของอีกคนนึง มันก็มีความขัดแย้งในใจเกิดขึ้น

แต่พอเริ่มโต เราก็คิดได้ว่าที่จริงเราไม่ต้องชอบใครขนาดนั้นก็ได้ เราดูงานไปเรื่อยๆ ก็ได้ เราไม่มีผู้กำกับหรือนักร้องคนไหนที่ชอบเป็นพิเศษ เราก็ชอบไปเรื่อยๆ ชอบเพลงนี้บ้าง ไม่ชอบเพลงนี้บ้าง เหมือนเราเป็นคนผสมๆ ถ้ามาดูจริงๆ ผลงานเราก็ค่อนข้างมีความผสมอยู่เหมือนกัน เป็นส่วนผสมของทุกอย่างที่เราชอบ แบบแม็กซิมอล ถมอะไรได้ถมอีก

จาก Bunny Shoot Film ทำไมถึงอยากขยับขยายมาทำสตูดิโอถ่ายภาพ

ตึกนี้เป็นตึกเก่าของที่บ้าน เคยเป็นโรงงานเสื้อผ้ามาก่อน ซึ่งเราก็เสียดายถ้าจะต้องขายหรือทิ้งร้าง กับการทำสตูดิโอก็เป็นสิ่งที่คุณพ่อลองเสนอมาตั้งแต่เห็นเราเริ่มเล่นฟิล์มใหม่ๆ แล้วว่าทำไมไม่ลองทำดู แต่ตอนนั้นเรายังมองไม่เห็นทางที่จะทำได้ อยู่ไกลถึงพระรามสองแล้วใครจะมา แต่พอเรารับงานสไตลิสต์ไปได้ประมาณ 2 ปี เราถึงได้รู้ว่าจริงๆ มันก็มีสตูดิโอฝั่งธนนี่นา แถวลาดกระบัง รังสิตก็มีคนไป งั้นแปลว่าสถานที่ของตึกเราก็ไม่ได้มีปัญหาแล้วรึเปล่า 

แล้วพอเราได้ไปใช้สตูดิโอหลายๆ ที่ เราก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่มีสไตล์ที่เราชอบเลย หรือต่อให้ชอบก็จะมีความขาดๆ เกินๆ บางอย่างอยู่ ไม่ใช่ว่าของเขาไม่สวยนะ แค่ยังไม่ถูกใจเรามากกว่า เราก็จะชอบคิดว่าน่าจะมีอันนี้นะ มันน่าจะมีอันนั้นเพิ่ม ไปๆ มาๆ  งั้นเราก็ทำเองเลยแล้วกัน ความโชคดีคือมีสถานที่อยู่แล้ว ทุกอย่างเลยลงล็อกพอดี

การที่คนทำงานโปรดักชันมาทำสตูดิโอเองมีข้อดียังไง

พอเราเคยเข้าไปอยู่ในงานสายนั้น เราเลยรู้ทั้งข้อดีและข้อเสียของหลายๆ สตูดิโอที่เคยไปมา เรารู้ว่าเราควรจะเอามาปรับยังไงให้เหมาะสม สไตล์ไหนหรือช่องว่างไหนที่ตลาดยังขาดอยู่ เราก็พยายามทำให้ Pain Point ที่เราเจอในการทำงานถูกแก้ไขที่สตูดิโอของเราให้ได้มากที่สุด ถ้ามีคนถามอะไรมา เราจะไม่มีการตอบว่าไม่รู้ หรือต่อให้จะมีเรื่องที่ไม่รู้จริงๆ อย่างเรื่องแสง เราก็สามารถเรียกเพื่อนที่เป็นทีมงานมาช่วยดูได้ 

หรืออย่างร้านกาแฟ เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ลูกค้านัดกอง 6 โมงเช้า แต่ร้านกาแฟเปิด 9 โมง คือมันไม่ทันกินแล้ว ดังนั้นพอเราชวนคนมาเปิดร้านกาแฟที่นี่ เราจะบอกเขาเลยว่าถ้ามีกองถ่ายตอนเช้า ขอให้มาพร้อมทีมงานตั้งแต่เช้าเหมือนกันนะ อีกเรื่องนึงคือเซอร์วิสและความช่วยเหลือ สตูดิโอบางที่อาจจะมีแค่แม่บ้านมาเฝ้าคนนึง ทีนี้พอกองถ่ายมีปัญหาหรืออยากจะขอยืมอะไรมันก็ยากไปหมด ที่สตูดิโอเราเลยจะมีแอดมินคอยช่วยเหลือทีมงานได้นั่งอยู่ในออฟฟิศตลอด

สุดท้ายคือเราอยากเป็นสตูดิโอที่รับได้ทั้งกองภาพนิ่งและกองวิดีโอ เพราะฉะนั้นโครงสร้างและวัสดุของเราจะค่อนข้างแข็งแรง อุปกรณ์ไฟที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายเราก็ติดล้อไว้ให้เลย เพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่ต้องมายกเองให้ของเราเสี่ยงพัง อีกอย่างคือเขาไม่ต้องมาเสียเวลาเลื่อน ซึ่งรายละเอียดพวกนี้เราก็ได้มาจากการทำงานโปรดักชันหมดเลย

Bunny Room Mansion มี 4 ชั้นกับ 4 ธีม ทำไมต้องเป็น 4 ธีมนี้

เรามีห้องอพาร์ตเมนต์ โรงแรม ห้องบัลเล่ต์ แล้วก็ห้องอ่างน้ำ 

ที่ไม่ทำเป็นธีมบ้านเพราะเราว่าในตลาดมีเยอะอยู่แล้ว คือจริงๆ ห้องอพาร์ตเมนต์ของเราก็คือธีมบ้านนี่แหละ แต่ก็จะมีสไตล์หรือกิมมิคที่แตกต่างอยู่ อย่างห้องนี้คนเช่าเก่าเคยทำเป็นสตูดิโอสอนทำอาหาร ก็จะมีเคาน์เตอร์กับฮู้ดบิวด์อินไว้อยู่แล้ว เรามารื้อออกทำใหม่นิดหน่อย เก็บโครงเดิมไว้ ห้องนี้ก็เลยจะมีโซนครัวที่ไม่เหมือนสตูดิโออื่น 

ชั้นบนสุดจะเป็นธีมโรงแรม เราเห็นว่าคนชอบไปถ่ายที่โรงแรมกันเยอะ แต่บางโรงแรมก็จะขอใช้สถานที่ยากบ้าง ไม่อนุญาตให้ถ่ายบ้าง พอดีชั้น 4 ของที่นี่เคยเป็นห้องพักคนงานมาก่อน มันก็จะเป็นเหมือนทางฮอลเวย์ มีประตูยาว 2 ฝั่ง ตอนดูพื้นที่เดินคุยกับเพื่อนว่าเหมือนโซนโรงแรมเลย เราก็ เออ…งั้นทำเป็นโซนโรงแรมเลยสิ

ส่วนห้องบัลเล่ต์เป็นห้องที่เรารู้สึกว่ามันยังไม่มีที่แบบนี้เลย เราชอบสตูดิโอเต้นที่เป็นห้องกระจก เหมือนเวลาดูหนังแล้วเจอซีนเต้นสวยๆ แต่คือห้องซ้อมเต้นที่ไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สวยแบบที่เราอยากได้ ก็เลยคิดว่าถ้าสตูดิโอเรามีห้องบัลเล่ต์ก็คงน่ารักดี ดูน่าสนใจ 

สุดท้ายคือห้องอ่างน้ำ อันนี้ niche สุดเลย เกิดจากความต้องการว่าอยากมีห้องน้ำสวยๆ ไว้ถ่ายรูป ในอ่าง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วแหละว่าห้องนี้ขายยากแน่ๆ เพราะมันถ่ายยาก เราก็ไม่รู้มีเหตุผลอะไรที่คนเราต้องไปอยู่ในห้องน้ำเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ก็รู้สึกว่าอยากลอง ซึ่งคนที่มาใช้ก็ค่อนข้างชอบนะ

ตั้งแต่ทำสตูดิโอมา มีอะไรเป็นข้อกังวลหรือเจอปัญหาอะไรบ้างไหม

ปัญหาที่ยากที่สุดคือที่จอดรถ เราต้องไปเช่าที่จอดรถหน้าปากซอยไว้รองรับลูกค้า ซึ่งค่าเช่าที่แพงมาก ยิ่งถ้าคิดถึงว่าอยากเปิดสาขา 2 ก็แปลว่าต้องหาพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกเพื่อทำที่จอดรถ มันอาจจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จริงๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก เรารู้ตั้งแต่ก่อนเปิดแล้วว่าเรื่องนี้ยาก ทำมาถึงตอนนี้ก็ยังยากอยู่ แต่เราก็พอจัดการได้ หาพ่อบ้านที่โบกรถได้มาช่วยดู ก็แก้กันไป

แต่ถ้าพูดถึงในเชิงการออกแบบ ก่อนทำที่นี่เราก็รีเสิร์ชทุกสตูดิโอเลยว่าเขาทำอะไรกันอยู่ แล้วก็จะเลี่ยงไม่ให้เหมือนเขา เราดูแล้วว่าสไตล์นี้ยังไม่มี ยิ่งถ้าเราบอกว่าตัวเองเป็นดีไซเนอร์ สิ่งที่เราจะไม่ทำคือการก็อปปี้ ต่อให้เป็นสไตล์ที่ขายดี เราก็จะไม่ทำซ้ำกับเขา หนึ่งคือผิดจรรยาบรรณ สองคือในเมื่อมีคนทำได้ดีอยู่แล้ว เราจะไปแย่งลูกค้ากับเขาทำไม เราก็ทำอะไรให้มันแตกต่างไปเลย เพื่อที่เราจะได้ไม่โดนด่าด้วยว่าเรามาทีหลังแล้วเราไปก็อปใคร ทำให้สไตล์หลากหลายดีกว่า ไม่ต้องไปแย่งกัน

ในเมื่อตอนนี้เราเป็นผู้ให้บริการเชิงพื้นที่เพื่อผลิตงานศิลปะ คิดว่าตอนนี้พื้นที่ศิลปะในยุคปัจจุบันเป็นยังไง

เราว่ามันคือเรื่องของการหล่อหลอมตั้งแต่เด็ก การที่เราจะมาเปลี่ยนอะไร ณ ตอนนี้ สำหรับคนวัยเราคงยาก แต่สิ่งที่เราว่าทำได้ตอนนี้เลยคือการผลักดันศิลปะเข้าไปสู่เด็ก และโรงเรียนก็ไม่ควรให้ค่าเฉพาะเด็กที่เก่งวิชาการ เด็กบางคนอาจจะหาตัวเองอยู่ เขาอาจจะเก่งทำอาหารแต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองเป็นเชฟ เพราะฉะนั้นถ้าเด็กที่ถนัดอย่างอื่นเขาไม่แกร่งพอ เขาก็จะฝ่อไปเลย จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเป็ด เป็นคนห่วย เป็นเรื่องฝังใจ ทั้งที่โลกเดี๋ยวนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนเราประสบความสำเร็จได้หลายอย่าง เป็นดีไซเนอร์ ศิลปินอะไรก็ตาม มันเป็นวิชาชีพ และการเป็นวิชาชีพก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เก่ง

เราว่าเรื่องนี้แหละเป็นเรื่องที่ควรแก้ไขและแก้ได้ง่ายที่สุด มันคงไม่ได้พัฒนาได้ในยุคเรา เราอาจจะแก่แล้ว แก้อะไรเราไม่ทันแล้ว ไม่รู้จะไปเริ่มแก้ตรงไหนด้วย คิดไปก็คิดไม่ออก เราก็เลยคิดว่ามันต้องไปแก้ให้คนยุคถัดไป แก้ในโรงเรียน ซึ่งเราเชื่อว่ามีคนกำลังพยายามแก้กันอยู่

ไข่มุกเคยพูดไว้ว่ามีเยาวชนจำนวนมากที่มีฝีมือ แต่ไม่สามารถทำธุรกิจของตัวเองได้เพราะขาดโอกาส ในฐานะที่เราสามารถเข้าถึงโอกาสได้ มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ยังไงบ้าง

เรามีพริวิเลจแน่นอนอยู่แล้ว เรานอนหลับ กินอิ่ม ไม่ต้องเครียด ต่อให้เครียดน้อยก็กว่าคนอื่น มันก็พูดยากนะ แต่เราเองก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ เข้าไปอยู่หลายวงการ ไม่ใช่ว่าบ้านมีทุนแล้วพ่อแม่จะสนับสนุนทุกอย่าง เขาต้องเห็นมาระดับนึงแล้วว่าเราตั้งใจทำสิ่งนี้จริงๆ เราถึงจะขอได้ ซึ่งถ้าเราไม่ได้รักษาความตั้งใจนั้นไว้ให้ดี เราก็มีสิทธิ์ล้มเหมือนกัน เพราะทุกการทำธุรกิจมีความเสี่ยงอยู่แล้ว ปัจจัยหลายอย่างควบคุมไม่ได้ เราก็ต้องปรับตัวและเปิดรับอยู่เสมอ

ทุกคนอยากให้สิ่งที่ตัวเองรักทำเงินได้ แต่ในความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น มันมีคนที่ทั้งขยันทั้งเก่งแต่ไม่สำเร็จสักที เราก็ตอบไม่ได้ว่าทำไม อาจจะเป็นดวงหรือจังหวะชีวิต เราไม่รู้ว่าเราจะช่วยอะไรคนที่เข้าไม่ถึงโอกาสได้หรือเปล่า แต่ถ้าจะให้แนะนำ เราคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้จริงๆ ไม่ว่าจะมีทุนหรือไม่มีทุน เขาควรจะต้องขยัน ถ้าอยากทำอะไรก็ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมนั้น ไปเป็นผู้ช่วย ไปรู้ระบบการทำงาน เราจะได้รู้ว่าอะไรที่ไม่จำเป็น หรือตรงไหนที่เขาทำผิดพลาด พอถึงวันที่เรามีทุนพอจะทำของตัวเอง ถึงแม้จะน้อย เราจะได้ไม่ต้องเสี่ยงไปผิดซ้ำในจุดที่เขาผิดกัน ไม่ต้องล้ม ไม่ต้องขาดทุน ไม่ต้องมานั่งเรียนรู้ด้วยตัวเองใหม่

นอกจากจะหันมาทำสตูดิโอแล้ว Bunny Shoot Film เองก็มีการเพิ่มสินค้าไลฟ์สไตล์เข้ามาด้วย มันแปลว่าศิลปะภาพถ่ายกำลังยืนด้วยตัวเองลำบาก ต้องฝากตัวอยู่กับสิ่งอื่นที่ขายได้มากกว่ารึเปล่า

เราไม่ได้มองว่ามันอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ เพราะเราไม่ได้คิดว่าจะขายแค่ฟิล์มเป็นธุรกิจหลักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เรารู้ตัวว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ สำหรับเราถ้าจะยึดธุรกิจอะไรเป็นหลักจริงๆ ก็ต้องรู้ต้นสายปลายเหตุของสิ่งนั้นทุกอย่าง ต้องตอบลูกค้าได้ ตอบตัวเองได้ สามารถเข้าไปแก้ไขหรือดีไซน์ได้ในทุกขั้นตอน ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราเป็นคนไม่ชอบเรียนรู้ (หัวเราะ) มันยุ่งยาก เดี๋ยวล้างฟิล์มมีจับเวลาอีก มีตัวเลขเวลาเข้ามาก็ไม่ชอบแล้ว เราก็เลยไม่ได้คิดตั้งแต่แรกว่าเราจะไปในทางฟิล์ม 

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาอย่างอื่นที่เรารู้ขั้นตอนและควบคุมการผลิตได้เอง เช่นสายคล้องกล้อง หรือเสื้อผ้าที่ตัวเองถนัด อีกอย่างคือฟิล์มมันเคยตายไปแล้ว มีความเสี่ยงอยู่แล้วที่จะตายอีกรอบ เราเป็นคนทำธุรกิจก็ไม่อยากตายไปพร้อมกระแสต่างๆ ที่เข้ามาแล้วออกไป เราเลยอยากให้แบรนด์เป็นไลฟ์สไตล์ไปเลย

ในอนาคตไข่มุกอยากทำอะไรต่อ ภาพแบรนด์ในฝันที่คิดไว้เป็นยังไง

เราไม่ได้มองภาพใหญ่ขนาดนั้น เพราะอย่างที่บอกว่าเราเคยระเบิดภาพฝันตัวเองไปแล้วรอบนึง (หัวเราะ) แต่ถ้าให้คิดแบบฝันๆ เลยคือทุกอย่างที่เราคิดจะทำ อยากให้สำเร็จไปตามขั้นตอนของมัน อยากมีโอกาสดีๆ เข้ามาให้ได้ลอง ให้เรายังอยู่ในแสง ไม่ต้องถึงขั้นเปรี้ยงปร้างก็ได้ แต่อยู่ในจุดที่ถ้าพูดถึงงานสายนี้แล้วจะมีคนนึกถึงชื่อเรา

พิสูจน์อักษร: ชลดา สวนประเสริฐ