คุณูปการที่สำคัญยิ่งของภาพถ่าย คือมันพาเราไปในที่ที่ไม่เคยไป ทำให้เราเห็นในสิ่งที่อาจไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่บนโลกใบนี้
ไดแอน อาร์บัส (Diane Arbus) เป็นช่างภาพหญิงที่โดดเด่นอย่างมากในช่วงยุคทศวรรษที่ 50s – 60s จากผลงานภาพถ่าย ‘คนแปลกๆ’ อันเปี่ยมอารมณ์และความรู้สึก ในขณะที่ช่างภาพคนอื่นอาจเลือกถ่ายทอดทิวทัศน์ที่งดงาม ผู้คนรูปร่างสมส่วน หรือมุมมองที่สะท้อนความสวยงาม แต่ช่างภาพหญิงคนนี้กลับบันทึกภาพบุคคลที่แตกต่างออกไปราวกับอยู่คนละโลก
คนในภาพของเธอส่วนมากอยู่ในซอกหลืบของนิวยอร์ก แทบไม่เคยถูกบันทึกในแผ่นฟิล์ม เช่น ภาพคนพิการแต่กำเนิด คนแคระ ตัวตลกในคณะละครสัตว์ คู่แฝดที่เหมือนผี ไปจนถึงกลุ่มคนชายขอบยุคนั้น อย่างนักเต้นระบำเปลื้องผ้า เกย์ ผู้หญิงข้ามเพศ เธอรู้สึกว่า คนกลุ่มนี้มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้ผู้คนต้องหันไปมอง
คนที่รักภาพของเธอมีไม่น้อย คนที่เกลียดก็มีมาก มีคนกล่าวว่าไดแอนเป็น ‘ช่างภาพของคนบ้า’ บ้างก็หาว่าเธอละเมิดสิทธิของคนอื่น
หากแต่ผลงานของไดแอนได้รับความนิยมอย่างยิ่งโดยเฉพาะหลังจากเธอเสียชีวิต
นิทรรศการที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งนิวยอร์ก (MoMA) มีจำนวนผู้เข้าชมสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ หนังสือรวมผลงานอย่าง Diane Arbus: An Aperture Monograph ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1972 ก็ยังคงขายได้จนถึงทุกวันนี้ ผลงานของเธอสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักถ่ายภาพสารคดีรุ่นหลังมากมาย
ยอดมนุษย์… คนธรรมดา อยากชวนไปรู้จักตัวตนของช่างภาพหญิงผู้เป็นตำนาน และหาคำตอบว่า เธอมองเห็นอะไรในความแปลกประหลาดเหล่านั้น
หญิงสาวจากครอบครัวร่ำรวย
หลายคนวิเคราะห์ว่า ไดแอนสนใจคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าเธอมีชีวิตวัยเด็กอยู่ในสังคมชั้นสูง
ไดแอนเกิดเมื่อปี 1923 ในครอบครัวที่ทำธุรกิจเสื้อผ้าขนสัตว์ในนิวยอร์ก ชื่อ ‘Russek’ ภายหลังกลายเป็นห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายเสื้อผ้าสตรีที่มีชื่อเสียงบนถนนฟิฟท์อเวนิว เธอจึงมีชีวิตวัยเด็กที่สบายกว่าเด็กทั่วไป
ไดแอนถูกเลี้ยงดูมาเหมือนไข่ในหิน จนบางครั้งรู้สึกถูกครอบครัวครอบงำทุกอย่าง จะทำอะไรก็ถูกห้าม ทำให้เมื่อโตขึ้นจึงมีนิสัยมุ่งมั่น ดื้อรั้น ไม่ชอบอยู่ในกรอบ ขณะเดียวกันก็เป็นโรคซึมเศร้า
“เจ้าหญิงในภาพยนตร์ที่น่ารังเกียจ” ไดแอนเปรียบชีวิตวัยเด็กของเธอไว้เช่นนั้น
“มีเรื่องในวัยเด็กเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวด คือการที่ฉันไม่เคยรู้สึกถึงความยากลำบากใดๆ เพราะพวกเขาไม่เคยปล่อยให้ฉันได้ลงมือทำอะไรด้วยตนเองเลย”
ตอนอายุ 14 ไดแอนพบรักกับอัลลัน ที่ทำงานในแผนกโฆษณาของธุรกิจครอบครัว เมื่ออายุ 18 ทั้งคู่แต่งงานกัน หลังจากนั้นก็เริ่มอาชีพช่างภาพโฆษณาและแฟชั่นให้นิตยสารชื่อดังอย่าง Vogue, Seventeen, Glamour โดยไดแอนรับหน้าที่เป็นสไตลิสต์ ส่วนสามีรับหน้าที่ช่างภาพ
จุดพลิกผันชีวิตของเธอเริ่มต้นในปี 1952-1953 สองสามีภรรยาเดินทางไปฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถ่ายภาพ อัลลันต้องการถ่ายภาพให้เป็นธรรมชาติให้มากขึ้น ขณะที่ไดแอนค้นพบความสุขในการถ่ายภาพอะไรก็ตามที่เธอสนใจ หลังกลับจากยุโรป หญิงสาวรู้สึกหมดความท้าทายในการถ่ายภาพโฆษณา จึงตัดสินใจขอเลิกทำงาน อัลลันก็ไม่ขัดขืน
ไดแอนที่อายุ 33 ปีในตอนนั้นมีอิสระในการถ่ายรูปทุกสิ่งที่ต้องการ เธอสมัครเรียนถ่ายภาพกับ ลิเซ็ตต์ โมเดล ซึ่งเน้นการถ่ายภาพที่มีคุณค่าทางศิลปะ
ลิเซ็ตต์ปลูกฝังเรื่องความหมายในภาพถ่าย โดยสอนให้หันกล้องออกไปพร้อมกับตั้งคำถาม แล้วบางครั้งภาพถ่ายนั้นจะตอบกลับมา นอกจากนี้ยังสอนให้ไดแอนถือกล้องออกไปโดยที่ไม่มีฟิล์มเลยด้วยซ้ำ เพื่อให้คำนึงถึง ‘สิ่งที่จะถ่าย’ มากกว่า ‘วิธีการถ่าย’
ไดแอนเริ่มศึกษางานของช่างภาพต่างๆ ให้รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ตอนที่กดชัตเตอร์ เธอประทับใจภาพของลิเซ็ตต์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาพคนชั้นล่างของสังคม ขอทาน คนเมา รวมถึงงานของ วี จี ช่างภาพหนังสือพิมพ์ที่เธอรับเอาสไตล์มาอย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่ปลุกสัญชาตญาณการถ่ายภาพของเธอมากที่สุด คือการได้ค้นโลกอีกใบซึ่งเธอแทบไม่เคยสัมผัสมาก่อน เมื่อเพื่อนคนหนึ่งพาไปดูหนังเรื่อง Freaks ของ ท็อด บราวนิ่ง ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของคนที่มีรูปร่างประหลาด ทำให้เธอรู้สึกคลั่งไคล้ในความแปลก
เล่ากันว่าเธอกลับไปดูหนังเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ครอบครัวปลูกฝังให้อยู่ห่างจากคนกลุ่มนี้
นับเป็นจุดเริ่มต้นของภาพถ่ายสไตล์เฉพาะตัวของไดแอน
ผู้คนที่แปลกประหลาด
“เมื่อฉันรู้สึกสนใจเรื่องราวของใคร มันยากที่จะบอกกับเขาว่าขอไปที่บ้านและนั่งคุยด้วยหน่อย แต่เมื่อมีกล้องถ่ายภาพ เขาจะหันมาสนใจคุณมากขึ้น การถ่ายภาพจึงเป็นใบผ่านทางให้ไปในทุกที่ที่ฉันอยากจะไป และทำในทุกอย่างที่อยากจะทำ”
หญิงสาวพูดถึงการถ่ายภาพที่พาเธอไปสู่โลกใบใหม่
ตอนนั้นไดแอนอายุ 35 มีลูกสองคน ฐานะก็ไม่ได้ย่ำแย่ แต่เธอกล้าทิ้งชีวิตอันปลอดภัยและมั่งคั่งไว้เบื้องหลัง พร้อมกับก้าวไปตามเสียงเรียกร้องภายในของตัวเอง
ช่างภาพหญิงเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่คณะละครสัตว์ Flea ใน พิพิธภัณฑ์ Hubert’s Dime ซึ่งเป็นที่รวมคนที่มีรูปร่างผิดปกติหลายประเภท เช่น คนที่มีแขนเล็กคล้ายแมวน้ำ นักแสดงที่มีหน้าครึ่งชายครึ่งหญิง คนที่เหมือนลิง คนกินไฟ แฝดสยาม ไปจนถึงคนสามขา
เธอมักไปกับเพื่อนๆ และบางครั้งก็ไปกับช่างภาพคนอื่นๆ โดยพยายามสร้างสัมพันธ์อันดี ทั้งนำของขวัญ นำรูปถ่ายไปมอบให้ เพื่อให้คนเหล่านี้ยอมเป็นแบบถ่ายภาพ
- © Diane Arbus
- © Diane Arbus
ในปี 1959 เธอก็ตัดสินใจหย่าขาดกับสามี และตะลุยถ่ายภาพอย่างจริงจัง โดยผลงานชิ้นแรกๆ ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Esquire, Harper’s Bazaar, และ The Sunday Times Magazine
ภาพของเธอถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันพลิกโฉมการนำเสนอแบบเดิมจนหมดสิ้น เธอมักเลือกถ่ายทอดตัวแบบที่คนทั่วไปไม่กล้าสบตา หรือต้องแอบดู ซึ่งกระตุ้นความสนใจของผู้ชม
นอกจากบุคคลในภาพที่มีความพิเศษแล้ว ไดแอนยังสามารถโน้มน้าวให้คนเหล่านั้นจ้องมองที่กล้อง สบตากับผู้ชมตรงๆ โดยไม่มีความกลัวหรือเขินอาย ทำให้แต่ละภาพมีพลังอย่างมาก
แต่กว่าจะได้ภาพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไดแอนต้องปฏิสัมพันธ์จนพวกเขาไว้วางใจ แม้หลายครั้งเธอจะมีความกลัว แต่ก็พยายามจัดการความรู้สึกเพื่อให้ได้ภาพกลับมา ทั้งหมดจึงไม่ใช่การทำงานแบบฉาบฉวย แต่ต้องอาศัยความอดทนและความพยายามอย่างยิ่งยวด
ขณะเดียวกันไดแอนก็ยกย่องคนแปลกเหล่านี้ ในฐานะผู้เอาชนะความหวาดกลัว เพื่อจะมีชีวิตอยู่ให้ได้ ซึ่งสำหรับเธอแล้วนี่คือความงดงาม
“ฉันถ่ายภาพคนประหลาดไว้เยอะมาก มันเป็นสิ่งแรกๆ ที่อยากจะถ่าย และทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น ฉันเพิ่งเคยชื่นชมพวกเขา ถึงตอนนี้ก็ยังชื่นชมบางคนอยู่ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แต่พวกเขาทำให้ฉันรู้สึกถึงส่วนผสมของความละอายและความกลัว เหมือนคนในเทพนิยายที่ทำให้คุณหยุดจ้องมองและเรียกร้องให้คุณไขปริศนา พวกเขาส่วนใหญ่ต้องก้าวผ่านความหวาดกลัว ประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาตั้งแต่เกิด พวกเขาผ่านบททดสอบในชีวิตแล้ว พวกเขาคือคนชั้นสูง”
“ฉันเชื่อจริงๆ ว่าถ้าฉันไม่ได้ถ่ายรูปพวกเขา ก็คงไม่มีใครเห็น”
แต่ใช่ว่าทุกคนจะนิยมชมชอบภาพลักษณะนี้ ภาพของเธอขายได้ในราคาเพียง 75 ดอลลาร์ หลายครั้งที่นิตยสารปฏิเสธงาน อย่าง Esquire เคยมอบหมายให้ไดแอนถ่ายภาพเกี่ยวกับ New York City เพื่อจัดทำนิตยสารฉบับพิเศษ เธอออกถ่ายภาพอย่างหนักทั้งกลางวันกลางคืน ตระเวนไปตามที่เก็บศพจนถึงโรงฆ่าสัตว์ สุดท้ายแล้วทางนิตยสารก็เลือกภาพชุดนี้แค่ 6 ภาพเท่านั้น แต่เธอก็ยังมุ่งมั่นทำงานต่อไป แม้จะมีช่วงขัดสนเงินจนต้องเขียนจดหมายไปขออดีตสามีบ้างก็ตาม
ช่วงปี 1960 ไดแอนเริ่มเปลี่ยนแนวมาถ่ายภาพคนปกติ แต่ก็ยังรักษาลายเซ็นไว้ คือ ถ่ายคนปกติให้ออกมาดูแปลกประหลาด เพราะภาพคนลักษณะนี้มักปลุกเร้าความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์
วิธีการถ่ายภาพของไดแอนคือ มองหาจุดบกพร่องของคนๆ นั้นแล้วดึงออกมาให้มากที่สุด บ่อยครั้งที่เธอถ่ายภาพในระยะที่ใกล้จนทำให้คนที่ถูกถ่ายภาพอึดอัดและแสดงพฤติกรรมที่แปลกๆ
ภาพที่มีชื่อเสียงมาก เช่น ภาพเด็กชายถือระเบิดของเล่น (Child with a toy hand grenade in Central Park, 1962) ครั้งนั้นไดแอนถ่ายทั้งหมด 11 ช็อต ภาพส่วนใหญ่ เด็กโพสท่ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเด็กทั่วไป แต่เธอกลับเลือกภาพที่ดูประหลาดที่สุดมาใช้ นั่นคือภาพที่เด็กมีสีหน้าบูดเบี้ยว ดูเหมือนกำลังหงุดหงิด

© Diane Arbus
เด็กชายคนนั้นชื่อ โคลิน วูด (Colin Wood) ซึ่งต่อมาให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่เจอไดแอน เขาวุ่นวายใจที่พ่อแม่กำลังหย่าร้าง สัญชาตญาณของไดแอนคงจะสัมผัสอะไรได้ เธอจึงมาถ่ายรูปเขาซึ่งกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านจนอยากจะดึงจุกระเบิดของเล่นและเขวี้ยงออกไป
“คุณเห็นใครบางคนบนถนน และสิ่งที่คุณสังเกตเห็นคือข้อบกพร่อง มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เรารับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้” ไดแอนให้สัมภาษณ์ถึงวิธีคิดในการสร้างงาน
ไดแอนก็ได้รับความยอมรับนับถืออย่างมาก ในปี 1967 ภาพถ่ายของเธอถูกเข้าร่วมแสดงใน The New Documents นิทรรศการที่เสมือนการก้าวเข้าสู่ยุคทองของการถ่ายภาพแนว Street ที่ The Museum of Modern Art (MoMA)
หลายคนยินดีที่จะให้ไดแอนถ่ายภาพ แต่หลายคนก็ไม่พอใจเมื่อได้เห็นผลลัพธ์ อย่างภาพถ่าย A Very Young Baby, N.Y.C. 1968 นั้น กลอเรีย แวนเดอร์บิลต์ ศิลปินชาวอเมริกันคนดัง มองว่าไดแอนถ่ายลูกชายของเธอออกมาดูน่ากลัว จึงไม่ยินยอมให้ภาพนั้นตีพิมพ์
เช่นเดียวกับ ภาพฝาแฝดคู่หนึ่ง (Identical Twins, Roselle, N.J. 1967) ซึ่งเป็นภาพที่โด่งดังที่สุดของเธอ พ่อแม่ของเด็กพยายามหยุดการเผยแพร่ภาพนี้เนื่องจากลูกของเธอทั้งสองดูเหมือนผีชั่วร้าย เล่ากันว่า สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) ผู้กำกับชื่อดังชอบภาพนี้มากจนนำไปใช้ในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง The Shining

© Diane Arbus
อีกเรื่องหนึ่งที่ดูจะแสดงถึงสไตล์การทำงานของไดแอนมากที่สุด คือตอนที่นิตยสาร New York จ้างให้เธอไปถ่ายภาพของนางแบบ Underground ชื่อดัง Viva ซึ่งช่างภาพหญิงใช้เวลาตลอดช่วงเย็นถ่ายภาพ Viva ในอพาร์ตเมนต์ เช้าวันถัดมาเธอก็กลับมาอีกครั้งโดยบอกว่าต้องการถ่าย Head Shot ก่อนที่จะได้ภาพ Viva ที่ตาเหลือกคล้ายคนกำลังเมายาและเปลือยหน้าอก เมื่อภาพเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็นที่ฮือฮา นิตยสารโดนยกเลิกโฆษณา ขณะที่ Viva ถูกยกเลิกงานและโดนวิจารณ์อย่างรุนแรง
ไม่น่าแปลกใจที่มีนักวิจารณ์หลายคนโจมตีว่าเธอละเมิดสิทธิของคนอื่น ขณะที่ผู้ชมไม่น้อยรังเกียจภาพของเธอ จากคำบอกเล่าของผู้จัดการภาพถ่ายของ MoMA ว่ามีหลายภาพของไดแอนถูกผู้เข้าชมงานถ่มน้ำลายใส่เนื่องจากความรังเกียจ ทำให้ต้องนำภาพเหล่านั้นออกไป หนึ่งในภาพเซตดังกล่าวคือภาพของคนยิวยักษ์กับพ่อแม่ของเขาที่บ้าน (A Young Man in Curlers at Home on West 20th Street, N.Y.C. 1966) ซึ่งต่อมาภาพนี้ถูกประมูลเมื่อปี 2004 ด้วยราคาสูงถึง 200,000 เหรียญ
ช่างภาพหญิงผู้เป็นตำนาน
ช่วงท้ายของชีวิตของไดแอน เธอถูกจู่โจมด้วยโรคร้ายและภาวะซึมเศร้า
ผลงานภาพสารคดีของคนบกพร่องทางสติปัญญาของเธอใช้แสงเงาที่นุ่มนวลลง
ตอนแรกไดแอนบอกว่างานชุดนี้เป็นเหมือนกับบทกวี อ่อนนุ่ม และสวยงาม แต่ในเวลาถัดมาเธอกลับบอกว่าเกลียดงานชิ้นนี้ แสดงถึงอาการของโรคซึมเศร้าอารมณ์พลิกกลับไปกลับมาอย่างสุดขั้ว
ในช่วงก่อนที่จะเสียชีวิตไดแอนเคยเขียนเอาไว้ว่า “อารมณ์ของฉันเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตลอด” นอกจากนี้เธอยังป่วยจากโรคตับอักเสบทำให้ความเครียดและหดหู่ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น
วันที่ 26 กรกฎาคม 1971 ไดแอนวัย 48 ปี กินยาระงับประสาทจำนวนมาก และกรีดข้อมือของตัวเองในอ่างอาบน้ำของอพาร์ตเมนต์ ปิดฉากชีวิตช่างภาพหญิงผู้สร้างความตื่นตาตื่นใจมากที่สุดคนหนึ่งของศตวรรษที่ 20
อย่างไรก็ตาม หลังจากการฆ่าตัวตายเพียงปีเดียว ภาพถ่ายของเธอก็ดังเป็นพลุแตกอีกครั้ง เมื่อได้รับเกียรติให้ไปจัดแสดงในนิทรรศการ The Venice Biennale ที่อิตาลี ซึ่งถือได้ว่าไดแอนเป็นศิลปินชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้ ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 1972-1979 มีผู้คนนับล้านคนได้ชมผลงานของเธอ
หลายคนยกย่องไดแอนที่กล้าไปยังสถานที่ที่คนอื่นไม่กล้าไป การถ่ายภาพคนชายขอบของสังคมก็ช่วยสะท้อนให้ผู้คนรับรู้ถึงการมีอยู่ของบุคคลเหล่านั้น จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นต่างๆ ผลงานของเธอส่งอิทธิพลต่อแนวคิดในการถ่ายภาพในยุคนั้นและสืบเนื่องมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ไมเคิล คิมเมลแมน นักวิจารณ์ศิลปะชาวอเมริกันเขียนถึงนิทรรศการ Diane Arbus Revelations ว่า “ไดแอนไม่ได้ทำงานเพียงเพราะมีคนจ้างเท่านั้น แต่เธอใช้หัวใจอันกล้าหาญในการเปลี่ยนมันให้เป็นผลงานศิลปะ”
ในปี 2006 เรื่องราวของเธอถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าผู้กำกับใส่จินตนาการลงไปเกือบทั้งหมดจนความจริงผิดเพี้ยน แต่มันก็ทำให้โลกพูดถึงชีวิตช่างภาพหญิงคนนี้ในวงกว้างอีกครั้ง
ข้อมูลประกอบการเรียบเรียง
– ไดแอน อาร์บัส กับโลกอันประหลาดของเธอ- www.akkaranaktamna.com
– Diane Arbus – Wikipedia
– A new biography of Diane Arbus – www.newyorker.com
– Masters of photography – Diane Arbus (documentary, 1972)
– Incest, suicide – and the real reason we should remember Diane Arbus – www.telegraph.co.uk