brand logo

PHOTO | LIFE | INSPIRATION

Apr 2025

ปกฉัตร วรทรัพย์
The Portrait of a Lady
เรื่อง : กษิดิ์เดช มาลีหอม
ภาพ : ธันวา ลุจินตานนท์
15 Nov 2022

เมื่อภาพนู้ดไม่ได้เป็นแค่การเปลือยสรีระอันสวยงามของมนุษย์เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสำรวจความคิดและจิตใจของกันและกันระหว่างช่างภาพและนางแบบ บทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่ถ่ายภาพได้แปรเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีความมั่นใจ กล้าที่จะมีความสุขในแบบของตัวเองได้ 

เรานัดกับปก—ปกฉัตร วรทรัพย์ที่ TARS Gallery แกลเลอรีที่จะมีการจัดแสดงผลงานภาพถ่าย ‘Whatdoyouthink (วัดดูยูฟิ้ง)’ ของเธอในช่วงเดือนธันวาคมของปีนี้ เมื่อเจอกันเธอทักทายพวกเราอย่างเป็นกันเอง พร้อมเชื้อชวนให้ดื่มน้ำสีเหลืองอำพันก่อนที่จะนั่งคุยกันเรื่องอ่อนไหวทางอารมณ์ ซึ่งเจ้าน้ำวิเศษนี้ก็ทำหน้าที่ช่วยให้บทสนทนาของคนแปลกหน้าทั้งสองไหลลื่นพริ้วเช่นเคย 

สำหรับปกฉัตรแล้วเธอคือช่างภาพผู้หญิงที่นำเสนอภาพนู้ดในแนวทางที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างออกไป ตั้งแต่เรื่องการเลือกนางแบบที่จะเน้นถ่ายผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นแบบมืออาชีพ เพราะเธอหลงใหลอะไรบางอย่างในความบริสุทธิ์ของมนุษย์และเชื่อในพลังสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ที่อยู่ในตัวของทุกคนเพียงแค่ว่าต้องให้เวลาและพื้นที่แก่สิ่งๆ นั้น 

นอกจากนี้งานของเธอยังมีสัมผัสบางอย่างที่ชวนให้เรามองภาพถ่ายเหล่านั้นเป็นภาพศิลปะที่น่าค้นหา ภายใต้เรือนร่างอันโค้งมนนั้นมีใจความสำคัญที่ปกใส่ไว้และอยู่ในทุกขั้นตอนกระบวนการของการทำงานคือเรื่องการเชิดชูความสวยงามที่หลากหลายของผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้ 

จุดเริ่มต้น

ตอนที่ปกตัดสินใจจะถ่ายภาพนู้ดเป็นครั้งแรก ต้องย้อนกลับไป 10 กว่าปีก่อนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังเรียนจบปริญญาตรี เพราะในเวลานั้นเจ้าตัวกำลังงุ่นว่าจะต้องถ่ายภาพชุดอะไรเพื่อสอบเข้าเรียนปริญญาโทด้านไฟน์อาร์ต โดยก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยที่จะสนใจการถ่ายรูปเรือนร่างผู้คนแบบเปลือยมาก่อน 

“เรารู้สึกว่าเราชอบถ่ายคน ช่วงตอนเรียนป.ตรี แล้วพอตอนจะสอบเข้าป.โท ถ่ายอะไรดีวะ เหมือนมันจะต้องถ่ายเซตนึงเพื่อสอบเข้า ช่วงนั้นเหมือนมีงานของเทอร์รี่ ริชาร์ดสันที่ดังๆ ลองถ่ายละกันภาพนู้ดแต่เป็นนู้ดผู้ชาย เป็นเหมือน free spirit ของแบบพวกกลุ่มวัยรุ่นวิ่งๆ อยู่ ตอนนั้นสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่งสร้างมีกองเหมือนเป็นยางมะตอยใหญ่ๆ แล้วก็มีอิฐปูน ตรงนี้เป็นเหมือนดาวเคราะห์อื่นไม่เหมือนโลกอ่ะ คือมาปล่อยฟรีอะไรกันตรงนี้เลย แล้วก็ถ่ายๆ เราก็เลือกแบบหุ่นไม่ใช่ผู้ชายปกติ ผอมๆ ก็เริ่มจากจุดนั้นแล้วพอเรียนปุ๊ปก็ถ่ายผู้หญิง ก็ถ่ายมาเรื่อยๆ ตอนแรกเราก็มองร่างกายคนเป็นบอดี้ๆ นึงแล้วก็ไปยัดตามที่ต่างๆ ที่เราชอบ เช่นแบบพวกโรงงานร้างที่สวยๆ แต่พอเราถ่ายผู้หญิงธรรมดา เรารู้สึกผู้หญิงทุกคนมีความแรด มีความร่าน ไม่ใช่นางแบบนะ แล้วคือผู้หญิงที่เราถ่าย นางจะพยายามโชว์ความสวยให้เรารู้ในแบบของเขา ซึ่งเรามองเขาในอีกแบบนึง ซึ่งเวลาเราถ่ายก็จะเป็นแบบ ‘อุ๊ย…สวย เธอสวย’ พอเราพูดชมว่าสวย นางก็จะแบบ ‘เฮ้ย…ฉันสวยตรงไหน’ พอถ่ายไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มดึงความสวยงามของผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นบุคลิกแบบซุกซน ยุกยิกนู่นนี่นั่นออกมา มันก็เลยเริ่มกลายเป็นสตาร์ทถ่ายงานนู้ดมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน” 

บทสนทนาระหว่างเธอและเธอ

เพราะการถ่ายภาพนู้ดต้องใช้ความเชื่อใจกันและกันสูงมาก นางแบบของปกในช่วงแรกๆ จึงเป็นเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักในวงสนิทกัน ซึ่งเสน่ห์ในตัวภาพถ่ายของเธอที่มีเสมอมานั้นคือการเปลือยเรือนร่างในความพร่าเลือน หยอกเย้ากับจินตนาการของคนดู โดยเธอเทียบงานภาพถ่ายของตัวเองเหมือนไดอารี่ที่บันทึกบทชีวิตประจำวันในแต่ละวันที่หมุนเปลี่ยนไป 

“ส่วนใหญ่ช่วงแรกๆ จะเป็นคนรู้จักรอบข้างจากเพื่อนคนนี้มาคนนั้นมา พอเริ่มถ่ายไปเรื่อยๆ พอคนเริ่มเชื่อแล้วว่างานจะเป็นแบบนี้แบบนั้นซึ่งงานปกก็จะเป็นงานศิลปะ ไม่เห็นหน้าส่วนใหญ่ เพราะรู้สึกว่าทุกคนมันมีจินตนาการภาพหน้าผู้หญิงของตัวเอง เรารู้สึกว่าเราอยากให้คนดูสนุก สมมติดูภาพนู้ดผู้หญิงคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร นมข้างในเป็นอย่างไร อาจจะมองลึกถึงตรงนั้น เราว่ามันสนุกดี แล้วเวลาเราถ่าย หากเรารู้สึกว่าเราได้แล้ว เราก็พอ ส่วนนางแบบถ้าเราจะถ่ายซ้ำ ถ้าซ้ำคือชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไปเช่น สามีทิ้ง พ่อตาย สัตว์ตาย ทำนมหรือศัลยกรรมอะไรพวกนี้ เราถึงจะถ่ายซ้ำ พอเรารู้สึกว่างานมันไปเรื่อยๆ มันเหมือนการเขียนไดอารี่ ช่วงนี้เราสนใจแบบนี้ แต่ละช่วงต่างกัน เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ตามกระแส” 

สำหรับเธอภาพนู้ดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอวดสัดส่วนภายใต้ร่มผ้าเสมอไป เพราะบางทีการเปลือยของคนเรานั้นมีระดับที่ต่างกันอย่างเช่นผลงานหนึ่งในเซตวัดดูยูฟิ้งที่ไปถ่ายที่อำเภอเชียงดาว 

“เราไปเรสซิเดนซ์มาที่เชียงดาว คือไปแบบไม่รู้อะไรเลย คือไปเสิร์ชมาว่าที่เชียงดาวมีอะไรบ้าง ตอนแรกเหมือนประมาณว่าถ่ายชนเผ่าโป๊ดีกว่า พอเข้าไปถึงปุ๊ปคือกว่าเราจะเข้าไปคุยกับเขาได้คือยากมาก เราต้องไปจุดนัดเจอเหมือนไปร้านกาแฟร้านนี้ที่รวมผู้คน เราก็เริ่มไปดื่มเหล้าแถวนั้น นี่เป็นวิธีสเปเชียลของเราคือชวนไปดื่มเหล้า พวกเด็กลีซูที่เห็นงานเราตอนแรก ‘ไม่ค่ะ หนูไม่ถ่าย’ ทุกคนคือไม่ถ่ายเลย แต่พอเราคุยไปเรื่อยๆ เราถ่ายพวกเขาแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่านางมีความเปราะบางอะไรบางอย่าง มีความใส อะไรก็ไม่รู้ซึ่งเราก็เลยเปลี่ยนไปอีกแบบนึงให้ใส่ชุดแต่ไม่เห็นหน้า เหมือนในอินสตาแกรมที่มีรูปคน 3 คนใส่ชุดพื้นเมืองหลายสี ไม่เห็นหน้า ก็กลายเป็นอีกรูปแบบนึงซึ่งคนก็ชอบเยอะ เหมือนคนอาจจะมองอีกเวย์นึง เฮ้ยไม่ต้องนู้ดก็ได้นิเธอก็ทำสวยแบบนี้ได้” 

ก่อนหน้าจะมาได้พูดคุยกัน ผมได้ดูภาพของปกหลายรอบแล้วรู้สึกว่าไม่เหมือนดูงานภาพถ่ายเหมือนงานศิลปะมากกว่า ดูแล้วต้องใช้จินตนาการต่างจากงานภาพนู้ดส่วนใหญ่ที่สื่อสารตรงไปตรงมาและกระบวนการของเธอก็เต็มไปด้วยช่วงเวลาที่พร้อมจะทำความเข้าใจต่อตัวนางแบบเสมอ เหมือนเป็นการเข้าไปศึกษาพื้นที่ส่วนตัวของคนๆ หนึ่งเลยก็ว่าได้

“เราว่าผู้ชายกับผู้หญิงมีความคิดไม่เหมือนกันและมุมมองอาจต่างกันเลย เราว่าผู้ชายเขาจะมองการถ่ายนู้ดไปอีกแบบนึงเลย บางคนก็อาจจะมองเหมือนเราบางคนก็อาจจะมองต่างไปเลย เราว่าช่างภาพผู้หญิงส่วนใหญ่มองความสวยงามที่ไม่ได้รู้สึกว่าเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ชวลมาก คือโอเคมันนู้ดมันก็ไม่ได้นู้ดขนาดนั้น มันนู้ดโชว์ความสวยงาม มันโป๊ก็จริงแต่มันสื่อถึงทัศนคติของนางแบบด้วยและก็มุมมองของช่างภาพด้วย 

“เวลาเราพูด ‘สวย’ เราพูดสวยจริงนะ แล้วพวกนั้นก็เริ่มมั่นใจ คือบางทีเหมือนพอถ่ายไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการซัปพอร์ตเขาให้พวกเขามั่นใจในตัวเองมากขึ้น พวกเด็กเผ่ามาถ่ายกับเราก็ไปแต่งงานกันหลายคนนะ คือแบบเป็นอย่างนั้น จริงๆ พวกเขาก็กล้ามากขึ้น มันเป็นเผ่าสมัยใหม่แล้วแหละ มีเล่นทินเดอร์ด้วย เราสนุกนะเวลาเจออะไรแบบนี้ แบบเล่าต่อซิว่าชีวิตมันเป็นอย่างไร เราก็เริ่มตะล่อม รวบหัวรวบหางถ่ายชุดสีขาวไม่โป๊ๆ แต่บางทีก็ขอ ไหนลองถกกระโปรงซิ นางก็ทำให้ ขอเกเรหน่อย คือเหมือนแบบนางก็คงเชื่อแล้วแหละว่าพี่ปกไม่ได้ถ่ายในเวย์นั้น แต่พอเรากลับไปอีกรอบ ‘ถ่ายได้แต่ไม่ให้เห็นหน้านะ’ เหมือนกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว เพราะว่าเราถ่ายงานเราไม่เคยถ่ายคนที่รู้จักกันภายในวันเดียว เพราะเรารู้สึกว่าต้องคุยกับเขาก่อนและให้เราไปดีเวลลอปต่อว่าเขาควรจะเป็นอย่างไร” 

แม้ว่าภายนอกปกจะดูเป็นคนตรงไปตรงมา พูดคำไหนคำนั้น เฮฮา แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเปิดพื้นที่รองรับสร้างความสบายใจต่อนางแบบเธอก็ทำได้อย่างอ่อนโยน และเธอยังมองบุคคลแปลกหน้าที่จะเจอเหมือนหนังสือเรื่องต่างๆ ที่ต้องอ่านและใช้เวลาหากที่หวังจะได้เข้าใจสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น

“ถ้าเป็นเพื่อนสนิทไม่ใช่ตอนนี้นะสมัยก่อนก็คงแบบ ‘เฮ้ย…ถ่ายรูปไหม’ (ทำเสียงใหญ่) ล่อผู้ ได้สามีแน่ๆ หลอกล่อเข้ามา (หัวเราะ) แต่คือตอนนี้เหมือนว่าพอสะสมชื่อมา ก็มีคนอยากมาถ่ายด้วยแล้วเราก็สนุก มาๆ ได้ๆ เพื่อนสนิทก็จะพูดแรงหน่อย ส่วนคนไม่สนิทมากด้วยเวย์คล้ายๆ กันแต่ไม่ได้ขนาดนั้น มันก็ต้องคุยก่อ\น เหมือนว่าถ้าต่อหน้าไม่ได้ก็คุยผ่านไลน์เนี่ยแหละ คุยแบบเฟรนด์ลี่ คุยแบบสบายๆ แล้วเราจะรู้สึกว่าเราจะไม่เกร็งด้วย สุดท้ายเราต้องทำให้เขารู้สึกเหมือนเพื่อนเรามากที่สุด เคยมีคนให้มาถ่ายลงโอนลีแฟนส์ เราก็พาไปสุดเหมือนกันอ่ะ โหคือได้มุมมองใหม่ๆ งานโป๊แบบโป๊มาก (เสียงสูง) ซึ่งน้องเขาก็เชื่อ สักพักคุยไปถ่ายไปก็ชวนคุยเรื่องชีวิตและเพราะเราคิดว่าคนทุกคนคือหนังสือที่หลากหลาย คนนี้อาจจะเป็นหนังสือเรื่องการจัดสวน บางคนจะเป็นหนังสือศิลปะ แล้วแต่ว่าเราเจอเล่มไหน เวลาเราอ่านไปก็ไม่เบื่อ สมมติว่าเราสนใจเรื่องนี้ เราจะกลับไปหาคนนี้หรือกลับไปหาใครก็ได้ที่ตรงกับสิ่งที่เราสนใจ”

การได้เจอคนเยอะไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายที่ปกต้องเห็นเยอะ วัฒนธรรมและความคิดของคนแต่ละชาติก็มีการแสดงออกต่างกันอย่างเช่นเรื่องของสาวญี่ปุ่นเมื่อ 10 ปีก่อนที่ปกได้ประสบการณ์แสนสนุกที่สุดช่วงนึงในการถ่ายนู้ดเลยก็ว่าได้

“เรารู้สึกว่าการถ่ายคนแม่งมันเว้ย เพราะคนมีเป็นล้าน อันนี้เราแค่ถ่ายในประเทศนะ เราเคยไปถ่ายที่ญี่ปุ่นมา ผู้หญิงก็แปลกมาก เวลาเราไปญี่ปุ่นเพื่อนที่นู้นก็จะฟีลแบบว่าปกจังมาแล้วใครอยากถ่ายบ้าง นางก็จะไปหาแบบมาให้ ก็มีคนนึงที่นางหามาให้เหมือนเป็นคนโชว์ใน S&M คลับ แล้วเราก็ไปเจอแบบเรียบร้อยมาก (เสียงสูง) จริงป่ะเนี่ยเรียบร้อยมาก เราก็ถามพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย ไม่ได้เลย ต้องให้เพื่อนคนญี่ปุ่นอยู่ด้วย เราก็ชวน ‘เฮ้ย…ดื่มไร’ ก็ดื่มแชมเปญกัน แปปเดียว 4 แก้วแล้วเราเริ่มเมาแล้ว เริ่มไม่สนล่ะไปถ่ายก่อนเดี๋ยวเสียเวลา เพื่อนเราก็หาบ้านเช่าที่เป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้นถึงจะรู้เป็นแนวเทรดดิชั่นแนลมากๆ นางแบบก็ถอดเสื้อผ้า เหลือแต่เสื้อในกางเกงในแล้วบุคลิกเปลี่ยนไปเลย จากเรียบร้อยกลายเป็นชะนีฮอตๆ เราแบบอะไรวะเนี่ย สักพักนางก็เริ่มซุกซนตามสไตล์นางถอดกางเกงใน นู่นนี่นั่นแล้วเราก็ถ่ายๆ แล้วนางก็ทำให้เรารู้จักชิบาริก่อนที่มันจะเข้ามาในไทย นางเอาเชือกมาเรายังไม่รู้เลยว่านางจะทำอะไร นางก็มัดตัวเองเราก็แบบเฮ้ยอะไรวะ แล้วค่อยไปศึกษาต่อว่าชิบาริคืออะไร และสักพักก็ฮิตในประเทศไทยไป เรารู้สึกว่ามันไม่เหมือนคนไทย คนไทยจะตรงๆ แรดให้เห็นเลย แต่นี่คือเมาแล้วก็ยังเก็บเหมือนออกนอกเคหะสถานนางก็ยังเป็นอีกแบบนึงพอเข้าไปในที่เซฟเฮ้าส์แล้วก็เป็นอีกแบบนึงซึ่งเรารู้สึกแปลกมากเลย แล้วเราก็ศึกษาสรีระของนาง เรื่องพุซซี่นางก็ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ มันก็แบบสนุกนะ แล้วเหมือนว่าเราอยากจะถ่ายนางไพรเวท รู้สึกว่านางเล่นกับเราเกินขอบเขตล่ะ ซึ่งถ่ายได้เกินกว่านั้นอีก เราก็เลยไล่ผู้ชายทั้งหมดออกไปซื้อน้ำแข็ง แล้วเราก็ถ่าย 

“ถ่ายฝรั่งจะเป็นอีกแบบนางก็จะตรงๆ เหมือนคนไทยแต่นางจะกล้าสุดขอบฟ้ากว่าแล้วก็ไม่ค่อยสนความสวยเท่าไหร่ถ้านางเชื่อแล้วจะเชื่อเลย ส่วนคนไทยขอดูรูปหน่อยได้ไหม ซึ่งพอดูแล้วถ้านางเชื่อนางก็เชื่อไปเลย และนางแบบส่วนใหญ่พอเสร็จงานก็กลายเป็นเพื่อนเราหมด”

ความน่าจะนู้ด

ช่างภาพมักจะมีมุมมองภาพที่เป็นลายเซ็นของตัวเองหรือเป็นความชอบในช่วงเวลานั้นๆ ที่เขาและเธอเพลิดเพลินอยากจะถ่ายทอดออกมา ซึ่งสำหรับปกแล้วการที่เธอจะได้ภาพที่เต็มไปด้วยความกล้าของนางแบบสมัครเล่นนั้นก็ต้องใช้เวลาพอควร และเธอรู้สึกว่า ‘ก้น’ เป็นอวัยวะที่ชอบถ่ายที่สุด ซึ่งครั้งหนึ่งเธอก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ชอบอะไรที่เป็นเส้นตรง

“เรารู้สึกว่าหลังๆ เริ่มชอบมุมข้างหลังที่ก้นมั้ง เพราะรู้สึกว่าจริงๆ แล้วกว่าจะได้ตรงนั้นมา คนที่ไม่ได้เป็นนางแบบเขาจะไม่รู้สัดส่วนเลยนะ เขาจะนอนแบบเหมือนนอนโชว์อะไรอย่างเนี้ย เราก็ต้อง ‘เฮ้ย…กระดกขึ้นนิดกระดกขึ้น สวยๆ ล่อผู้ๆ’ เหมือนประมาณว่าพูดเชิงสนุกๆ เรารู้สึกว่ามุมข้างหลังมันรู้สึกเซ็กซี่กว่า มันก็เป็นความชอบไปเรื่อยๆ และในอนาคตอาจจะเปลี่ยน”

แม้จะมีการกำกับนางแบบในบางช่วงเพื่อเดินตามเส้นเรื่องที่ปกตั้งใจไว้ แต่เธอก็จะไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายอิริยาบทท่าทางของนางแบบที่แสดงออกมา ปกเพียงให้ภาพในหัวแก่พวกเธอเท่านั้น 

ภาพถ่ายของปกไม่ได้ดูยากและไม่ได้ตรงไปตรงมาเกินไปจนแบนเรียบ มิหนำซ้ำประกอบกับโทนสีและอารมณ์ในบรรยากาศ ภาพของเธอจะชวนให้เราผ่อนคลาย แต่หากใครอยากจะวิเคราะห์ภาพเธอให้ซับซ้อนก็เป็นเรื่องที่เธอยินดีเช่นกัน

“กำกับแค่ในตอนแรก สมมติเป็นเรื่องอย่างเช่นในอินสตาแกรมที่เราไปเชียงดาว เป็นรูปผู้หญิง 2 คนจูงหมา อันนั้นเหมือนเราดูแลนด์สเคปของเชียงดาวและเวลาเราหาเรฟเฟอเรนซ์จะไม่หาในภาพถ่าย เราจะหาเป็นพวกหนังสือไม่ก็พวกภาพวาดหรืออื่นๆ เราไม่ชอบดูภาพถ่ายเพราะกลัวติด มันจะติดแล้วเรารู้สึกว่าการอ่านหนังสือมันกระตุ้นจินตนาการบางอย่าง เหมือนประมาณว่าเช่นเวลาอ่านหนังสือของรงค์ วงษ์สวรรค์ เรื่องเซ็กซ์หรืออะไรแบบนี้ที่อาจารย์รงค์เขียนเราก็จินตนาการ หรืออย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยก็ได้ง่ายๆ ภาพมันออกมาเองเราไม่รู้ด้วยว่าแฮร์รี่หน้าตาเป็นไงก่อนที่จะออกมาเป็นหนัง อันนี้มันก็คล้ายๆ กัน เราก็ไปดูเทพองค์นึงที่ชื่อไดอาน่า เราพยายามหาเทพองค์ไหนที่แก้ผ้าแล้วสวยๆ โดยเขาถือให้ไดอาน่าเป็นเทพแห่งการรักษาพรหมจรรย์ เรื่องก็ประมาณว่าไดอาน่านางแก้ผ้าอยู่ในป่า แล้ววันนึงผู้ชายเดินเข้ามากับหมาแล้วเห็นไดอาน่าอาบน้ำแล้วเกิดอารมณ์  แต่พอไดอาน่ารู้ปุ๊ปนางก็เสกให้ผู้ชายเป็นกวางและหมาของผู้ชายที่ถูกเทรนมาให้ล่าก็ฆ่าผู้ชายทิ้ง ไดอาน่าก็เลยพาหมาไปเลี้ยง เลยกลายเป็นเซตผู้หญิง 2 คนเดินคู่กับหมาสีดำ เนี่ยเรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรง่ายๆ จริงๆ คอนเซ็ปต์ของเราไม่ได้ลึกมาก แบบสัญลักษณ์นี้คืออันนี้ไม่ใช่ เพราะว่าเรารู้สึกว่าภาพถ่าย เอาจริงถ้ามันไม่ซับซ้อนมันก็น่าจะสนุกและก็น่าจะมีความสวยงามอะไรบางอย่างของมันอยู่ที่ทำให้คนดูพอจินตนาการได้แบบภาพแอ็บสแตรกต์หรืออะไรแบบนั้น เพราะภาพถ่ายมันคือภาพที่ถูกถ่ายจริงๆ โมเมนต์นั้นแบบที่เราคิด”  

องค์ประกอบภาพคือสิ่งที่ทำให้ภาพถ่ายนั้นมีพลังในการสื่อสารต่อสายตาผู้ที่ชมมัน แต่ในบริบทของการถ่ายภาพนู้ดแล้วนั้นองค์ประกอบที่เรากำลังนึกถึงได้คืออะไรบ้าง และจะต้องมีสิ่งใดบ้างในภาพถึงจะสามารถพูดได้ว่าภาพนู้ดใบนี้ทรงพลังยิ่งนัก 

“ภาพนู้ดของเราจริงๆ เรามองเป็นงานศิลปะล่ะกัน เราว่าภาพนู้ดมันก็ควรมีซิมโบลิคของเพศสภาพอยู่ในนั้น แต่พอสื่อออกมาเรารู้สึกว่าเวลาเห็นหัวนมอยู่ใต้เสื้อเรารู้สึกว่ามันเซ็กซี่แล้ว จริงๆ เราว่ามันไม่มีอะไรตายตัวนะว่าองค์ประกอบไหนจะดีหรือไม่ดี เรารู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราไปเผชิญตอนถ่ายว่าเราไปเจออะไรบ้าง ว่านางแบบทำอะไรให้เราไปถึงไหน สมมติบางคนเหนียมอายมากแต่ถึงจุดก็กางขาโชว์ก้นให้เราเก็บโมเมนต์สนุกๆ สรุปแล้วองค์ประกอบภาพนู้ดมันคงต้องสัญลักษณ์ของเรื่องเพศนี่แหละ แล้วอย่างอื่นก็ปล่อยไปตามความคิดของศิลปินและช่างภาพที่อยากสื่อออกมาสำหรับคนอื่นเราไม่รู้ สำหรับเราแค่นี้เลย” 

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ชอบคิดและวางแผนก่อนถ่ายจริง เธอแค่ยอมรับและเข้าใจต่อสิ่งที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือชีวิตที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ที่สำคัญสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้ห่อหุ้มประสบการณ์คนละแบบกับเรา

“จริงๆ คิดก่อนแต่พอคิดก่อน ว่าเราอยากได้แบบนี้แล้วพอไปเจอนางแบบถ่ายไปเรื่อยๆ แล้วกลายเป็นอื่นไปเหนือความคาดหมาย แล้วเราไม่ได้คาดหวังไว้เยอะเราคิดว่าเราอยากได้แค่ภาพ สมมติง่ายๆ เลยแค่ถ่างขาแต่เขาถ่างขาไปในทางอื่นหรือแบบทำอย่างอื่นไม่ใช่แค่นี้ คือเราชอบมันเป็นโอเวอร์คอนโทรลที่เราชอบ เวลาเราถ่ายไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าคนๆ นี้เกินกว่านี้ได้อีก ไปกว่านี้ได้อีก องค์ประกอบช่างมันแค่มีนมหรือมีร่างกายที่สวยงามของเขา จบ ส่วนอันอื่นอยู่ในภายใต้คอนเซ็ปต์หรือข้อจำกัดอื่นๆ ที่เขาพาเราไปได้”

ฉะนั้นสิ่งที่ยากที่สุดของการถ่ายภาพนู้ด ไม่ใช่ขั้นตอนในการกดชัตเตอร์บันทึกท่าทางของนางแบบ หากแต่กระบวนการทางความคิดที่กลั่นกรองจากภาพในหัวสู่ภาพในเฟรมนั้นต่างหาก

“วิธีการคิด การโปรเซสว่าจะถ่ายออกมายังไง เราว่าอันนี้ยากที่สุด การถ่ายง่ายมาก ในการแฮนเดิลกับนางแบบ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้แฮนเดิลมากนะ เขาทำไรก็ทำเราก็จะไล่เก็บเอง แต่แค่บอกว่าเธอสองคนเป็นไดอาน่านะ เราขอแค่ท่าเดินจูงหมาสวยๆ เฟียตๆ (รูปถ่ายไดอาน่าในเซตวัดดูยูฟิ้ง) แล้วเราก็ไปทำของเราเอง เรื่องอื่นไม่ได้ยากเท่ากระบวนการคิด นานใช้เวลากว่าจะตกผลึกในเรื่องที่จะเราจะถ่าย สมมติว่าเรื่องนี้อยากถ่ายก็ต้องศึกษากว่าจะเป็นสเก็ตซ์ ซึ่งสเก็ตซ์ของเราจะเขียนหนังสือ เขียนเอาว่าผู้หญิงคนนี้กินข้าวอยู่แบบนี้อยู่ในที่นี้ คิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ ไม่มีสเก็ตซ์แบบเป็นก้างปลา (หัวเราะ) แต่คือทุกอย่างมันอยู่ในหัวอยู่แล้ว ใส่เสื้อสีนี้ ทำอะไรที่นี่ น้ำสีนี้ พระอาทิตย์ช่วงตอนกี่โมง”

ภาพถ่ายที่ส่งเสียงเพื่อผู้หญิง

ก่อนหน้าที่จะอยู่บนโต๊ะร่วมสนทนากันวันนี้ปกเพิ่งได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 50 ศิลปินหญิงร่วมสมัยจาก 30 ประเทศทั่วโลกของแมกกาซีนหัวหนึ่งของฝรั่งเศส เราจึงชวนเธอคุยถึงประเด็นความร่วมสมัยที่อยู่ในงานที่เธอต้องการสื่อสารออกไป

“เรารู้สึกว่างานของเราเสนอความสวยงามของผู้หญิงมากกว่าความเท่าเทียม เราพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมที่เขาอยากจะแสดงออกในเรื่องที่เขาอยากจะแสดงออกให้เราเห็น ว่าแบบนี้เขาก็สวยนะแบบนี้เขาก็มั่นใจนะ เรามีถ่าย LGBTQ+ ด้วยนะ แต่คือมันยังไม่ได้ลึกมากขนาดที่เราไปถ่ายบ่อย เราว่างานเรามันบอกเรื่องนั้น” 

การทำงานทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้นไม่ว่ามันจะเล็กหรือจะใหญ่แค่ไหนก็ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเพราะมันคือสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ในกรณีของปกเองเหตุที่เธอลุกขึ้นมาส่งเสียงเรื่องการเคารพในความงามของผู้หญิงเกิดจากเหตุการณ์ในที่เธอได้ไปดูชุดภาพถ่ายลับของช่างภาพนู้ดชาวอเมริกันคนนึงที่งานของเขานั้นสุดโต่งและท้าทายเส้นศีลธรรมจนใกล้เคียงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

“เรารู้สึกว่าสิ่งที่อาจจะเป็นปม คือการที่เราไปชอบช่างภาพคนนึง แล้วก็ไปเห็นงานที่มันดูถูกผู้หญิงมาก เอานิ้วโป้งเท้ายัดปาก มีผู้ช่วยด้วยนะ บีบคอนู่นนี่นั่น มีจิ๋มของศพผู้หญิงมาดองในห้อง อีxxx xxxไรเนี่ย ผู้หญิงทุกคนเข้าไปหาเขาโอเคเข้าใจเขาอยากจะมีซีน แต่เขาก็มีความสวยของตัวเองที่ไม่ใช่แบบนี้ เหมือนประมาณว่าเราต่อต้านการที่ผู้ชายทำตัวเองเป็นใหญ่ เราเชิดชูในการที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ในแบบของเขา ในแบบที่ไม่ต้องข่มผู้ชายก็ได้ เป็นใหญ่ของเราคือมีอิสระที่เขาอยากจะนำเสนอความสวยงามของเขาหรือความคิดเห็นของเขาที่เขาอยากจะทำอะไรก็ทำ เขาอยากจะแบบไปเที่ยวกับเพื่อน ไปดื่มเหล้ากับเพื่อน หรืออย่างไปทำอะไรกับเพื่อนที่สุดโต่งหรือแต่งตัวโป๊ก็เรื่องของเขา ที่ไม่ต้องมาโดนผู้ชายทักที่ต้องมีเครื่องหมายคำถามว่าทำไปทำไม”

ปกกล่าวกับเราว่าเธอจะยินดีและมีความสุขมากๆ หากกระบวนการถ่ายภาพของเธอไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยในเรื่องต่างๆ การถ่ายขณะอยู่หน้าเซต หรือภาพที่ถ่ายเสร็จแล้วปรินต์ออกมานั้นสามารถไปเสริมสร้างพลังและความมั่นใจบางอย่างให้แก่ผู้หญิงได้ 

“เรารู้สึกว่าถ้ามันมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น จากภาพถ่ายเราหรือตัวเราช่วยได้ เราจะรู้สึกดีมากเพราะบางคนรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเพราะบางคน ‘เฮ้ย…ฉันมีพุงนู่นนี่นั่น’ พอเราทำให้เขารู้สึกว่าเขามีร่างกายที่แบบว่ามันสวย และจริงๆ มันไม่ต้องสวยในแบบที่คนอื่นพูด สมมติว่าเราเชื่อว่าเราสวยแล้ว มีพุงก็สวยได้ คืออันนี้มันเป็นความแฮปปี้ ไม่อยากให้ต้องมาโฟกัสคิดมากเรื่องนี้ แล้วจะสนุกกับชีวิตเราไปเองแล้วไม่ทำให้เราดีเพรสด้วย”

ในงานภาพถ่ายของปก เธอไม่ได้สู้เพื่อพร่ำบอกให้ผู้หญิงกล้าในการแสดงออกเพียงแต่เรือนร่างอย่างเดียว เพราะเรื่องของทัศนคติหรือวิธีคิดเองปกก็มองว่าเรื่องพวกนี้บางทีนั้นต้องใช้ความกล้ามากกว่าการเปลือยร่างกายเสียอีก

“บางคนก็จะมีความไม่มั่นใจแตกต่างกัน แบบบางคนอาจจะโฟกัสเรื่องนี้ บางคนอาจจะไม่กล้าเรื่องคำพูด บางคนอาจจะไม่กล้าพูดความจริงออกมาในสิ่งที่ตัวเองคิด บางคนไม่กล้าพูดแม้แต่เพื่อนทำผิด บางคนไม่กล้าทวงเงิน มันไม่ใช่แค่เรื่องร่างกาย มันเป็นเรื่องมายด์เซตไปเลย เพราะเวลาเราคุย เราคุยแบบนี้ ก็คุยไปเรื่อยๆ แล้วเราก็พูดประมาณว่ามึงมันไม่ได้นะ จริงๆ แล้วเรามีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้ ทำในสิ่งที่มีความสุข 

“มีน้องคนนึงที่เราเคยถ่ายนาง นางมีแผลกรีดข้อมือเต็มเลย แล้วเราเห็นเราก็ขอโทษก่อน เราอยากถ่ายมากเลย เรารู้ว่ามันอาจจะเป็นความเจ็บปวด เรารู้สึกว่าคนที่ปล่อยแผลเป็นให้มันเป็นคีลอยด์ขึ้นมา แล้วไม่ลบ แสดงว่าต้องมีความคิดเป็นอีกแบบนึง เราขอถ่ายได้มั้ย ตอนนั้นมันมีเรื่องแมวเราตายด้วยอย่างนึง มันจะมีช่วงชีวิตที่เราบอกเหมือนเขียนไดอารี่ แล้วน้องก็บอกว่าได้พี่ที่ขาหนูเต็มเลย เป็นคีลอยด์หมดเลย พอเข้าไปในห้องมีแมว แล้วเป็นแมวสีดำที่เหมือนของเรา นางก็คุยกับเรา ‘นี่พี่ถ้าหนูไม่มีแมวหนูอาจตายไปแล้วก็ได้’ เหมือนว่าเราก็ช่วยพูดให้นางเหมือนไม่ดีเพรส พูดถึงเรื่องสัตว์เลี้ยงด้วย เพราะการมีสัตว์เลี้ยงมันช่วยเราหลายอย่างเวลาเครียด เวลามีอะไรในใจเวลาได้สัมผัสอย่างหมาเวลามองเข้าไปในตา เดินเข้าไปหามันก็สามารถรู้สึกถึงกันได้ มันก็ช่วยให้เราดีขึ้น น้องคนนั้นก็เช่นกัน เดี๋ยวมันจะมีแต่สิ่งดีๆ อย่าไปคิดถึงเรื่องนู่นนี่นั่น ทำชีวิตตัวเองให้มีความสุข ออกไปเผชิญโลกเลย” 

การที่ช่างภาพนำตัวเองเข้าไปอยู่ในบทสนทนากับนางแบบราวกับว่าคนสองคนได้จับมือกันและยอมให้อีกฝ่ายต่างได้เดินเข้ามาข้างในจิตใจ ไม่ต่างกับการที่คนๆ นึงกำลังช่วยเหลือเพื่อนสนิทของเขา หรือนักจิตบำบัดที่พยายามทำความเข้าใจปมซ่อนเร้นภายในก้นบึงจิตใจของมนุษย์ หรือทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องราวของคนแปลกหน้าสองคนที่มาเจอกันในช่วงเวลาที่พอดี

“เรารู้สึกขอบคุณนางแบบเราทุกคนเพราะว่าพวกเขาเหมือนเป็นครูในโมเมนต์นั้น ในการถ่ายอันนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาของอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นบทเรียนของเราที่เราได้เจอคนๆ นึงที่เราได้คุยกันและมีสิ่งดีๆ เข้ามาให้กัน

พิสูจน์อักษร : ชลดา สวนประเสริฐ